ชีวิตวันหนึ่ง ๆ มีแต่บัญญัติเป็นอารมณ์

 
papon
วันที่  22 ก.ย. 2556
หมายเลข  23674
อ่าน  821

ชีวิตวันหนึ่งๆ มีแต่บัญญัติเป็นอารมณ์ การมีปรมัตถเป็นอารมณ์ได้ก็ด้วยการฟัง

พระธรรมพิจารณาธรรมและอบรมเจริญปัญญาทางเดียวเท่านั้น หรือครับอาจารย์

ขอรายละเอียดด้วยครับ ขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปรมัตถ คือ สภาพธรรมที่มีจริง ที่มีลักษณะให้รู้ ที่เป็นนามธรรม รูปธรรม คือ

จิต เจตสิก รูปที่มีในชีวิตประจำวัน เช่น เห็น ได้ยิน สี เสียง คิดนึก เป็นต้น สภาพธรรม

เหล่านี้ เป็นปรมัตถ มีลักษณะที่สามารถรู้ได้ จึงเรียกว่า ปรมัตถธรรม ครับ

ส่วนบัญญัติ เป็นสิ่งที่มีได้ ด้วยเนื่องกับปรมัตถ เพราะ บัญญัติเป็นสิ่งที่ สมมติเป็นเรื่อง

ราวต่างๆ เพราะ อาศัยสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นปรมัตถ คือ จิต เจตสิก รูป จึงสมมติว่า

เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งต่างๆ หมายเรียกเพื่อให้เข้าใจความหมาย

ซึ่งในชีวิตประจำวัน ก็มีทั้งที่เป็นปรมัตถ และ บัญญัติ ซึ่งสัตว์ทั้งหลายก็รู้ทั้งปรมัตถ

และ บัญญัติ ใครรู้ เป็นจิต ที่เป็นใหญ่ เป็นประธานการรู้ รู้ทั้งสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็น

ปรมัตถ และ รู้ บัญญัติที่เป็นเรื่องราวต่างๆ ได้ เมื่อกล่าวถึง จิตที่เป็นสภาพรู้ ในชีวิต

ประจำวัน สัตว์โลกทั้งหลาย จึงมีทั้งปรมัตถที่เป็นอารมณ์ในขณะนี้ เพียงแต่จะรู้ด้วย

ปัญญา หรือ ไม่รู้ด้วยปัญญาเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ขณะนี้กำลังเห็น ทุกคนมีการเห็น

เห็นอะไร เห็น จะเป็นเห็นเป็นสัตว์ บุคคลไม่ได้ แต่เห็นก็เห็นสีที่เป็นรูปธรรมชนิดหนึ่ง

เป็นปรมัตถธรรม ได้ยิน ก็ได้ยินเสียง เสียงก็เป็นปรมัตถธรรม ดังนั้น การเห็น เป็นจิต

ที่เป็นสภาพรู้ ดังนั้น ก็มีการรู้ปรมัตถธรรมโดยปกติ แต่เป็นการรู้โดยจิต แต่ไม่ใช่การรู้

ด้วยจิตที่ประกอบด้วยปัญญา และเมื่อมีการเห็นแล้ว เห็น สี ก็มีการคิดนึกต่อทางใจ

เป็นรูปร่าง สัณฐาน สัตว์ บุคคล สิ่งต่างๆ ขณะนั้น จิตก็มีบัญญัติ เรื่องราวเป็นอารมณ์

อันอาศัย ปรมัตถธรรม ที่มีจริงเกิดขึ้น ครับ

จึงกล่าวได้ว่า ในชีวิตประจำวัน ของสัตว์โลก มีทั้งปรมัตถเป็นอารมณ์และบัญญัติ

เป็นอารมณ์ของจิต เจตสิก แม้ไม่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพียงแต่ ไม่รู้ว่ามี

ปรมัตถ และบัญญัติเป็นอารมณ์ ขณะไหน เมื่อไหร่ เพราะเป็นการรู้ปรมัตถ ที่ไม่ใช่

การรู้ด้วยปัญญา ดังนั้นอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จากพระธรรมที่

พระพุทธเจ้าทรงแสดง เรื่องสภาพธรรมที่มีจริง ย่อมเกิด ปัญญาเกิดขึ้นทีละน้อยจน

ปัญญาแก่กล้า เกิดสติปัฏฐานที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ ที่กำลังมีกำลัง

ปรากฎ รู้ตัวปรมัตถที่ลักษณะของเขา ย่อมรู้ตามควาเมป็นจริง รู้ด้วยกุศลจิต ที่ประกอบ

ด้วยปัญญา ย่อมละอวิชชา และ ละกิเลสได้ตามลำดับ ครับ เพราะฉะนั้นการรู้ปรมัตถ

ที่เป็นการรู้ด้วยจิตที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เช่น เห็น ได้ยิน เหล่านี้ ไม่ได้เกิดปัญญา

และ ไม่สามารถละกิเลสได้ แต่การรู้ปรมัตถ ด้วยปัญญาที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน

เป็นหนทางการละกิเลสได้ เพราเข้าใจถูกในขณะนั้นว่าเป็นแต่เพียงปรมัตถ เป็นธรรม

ไม่ใช่เรา ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 23 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ปรมัตถธรรม คือ อะไร? บัญญัติ คืออะไร?

ปรมัตถธรรม หมายถึง ธรรมที่มีจริง สิ่งที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะของตนๆ

ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ ซึ่งไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันเลย

(จิต เจตสิก และรูป) นอกจากนั้น ปรมัตถธรรม ยังหมายถึงธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ

คือพระนิพพานด้วย ส่วน บัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถธรรมไม่มีลักษณะ เป็นชื่อเรื่องราว

ต่างๆ ที่จิตคิด

อีกประการหนึ่งที่ควรจะเข้าใจ คือ อารมณ์ อารมณ์ หมายถึงสิ่ง

ที่จิตรู้ สิ่งที่จิตรู้นั้น เมื่อกล่าวโดยรวมแล้ว มีทั้งหมด ๖ ประเภทใหญ่ๆ

คือ สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธัมมารมณ์ (อารมณ์ที่

รู้ได้ทางใจอย่างเดียว ได้แก่ ปสาทรูป ๕ สุขุมรูป ๑๖ จิตทั้งหมด

เจตสิกทั้งหมด พระนิพพาน และบัญญัติ)

เมื่อทราบแล้วว่าปรมัตถธรรม คือ อะไร บัญญัติคืออะไร และ อารมณ์

คือ อะไรแล้ว ก็ควรที่จะได้พิจารณาต่ออีกว่า ทุกขณะของชีวิต เป็นจิต

ที่เกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยปราศจากจิตเลยแม้แต่ขณะเดียว

เมื่อจิตเกิดขึ้น (และต้องหมายรวมเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) ก็ต้องรู้อารมณ์

หนึ่งอารมณ์ใดตามสมควรแก่ประเภทของจิตนั้นๆ เช่น จิตเห็น ต้องรู้สี (สี

เป็นปรมัตถธรรม คือ เป็นรูปธรรม) จิตได้ยิน ต้องรู้เสียง (เสียงก็เป็นปรมัตถธรรม)

เป็นต้น ซึ่งชีวิตประจำวันวัน มีทั้งปรมัตถธรรม เป็นอารมณ์ และ มีบัญญัติเป็น

อารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย

จะมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์เท่านั้น ส่วนจิตที่เกิดขึ้นทางมโนทวาร มีอารมณ์

เป็นปรมัตถธรรมก็ได้และ มีบัญญัติเป็นอารมณ์ก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก

แต่เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจิตขณะใด เป็นภูมิใด เมื่อเกิดขึ้นแล้ว

ก็จะต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งก็คือรู้อารมณ์ นั่นเอง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 23 ก.ย. 2556

สัตว์ รู้ ปรมัตถ แต่ ไม่รู้ว่าเป็นปรมัตถ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 24 ก.ย. 2556

การรู้เรื่องราวของปรมัติกเป็นบัญญัติแต่นำไปสู่การรู้ปรมัติ..

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 24 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ