อยากหายจากอาการเครียด
สวัสดีค่ะ ปกติดิฉันไม่ใช่คนเครียด ชอบทำบุญและทำสมาธิบ้าง แต่ช่วงนี้ปวดศีรษะมากทุกวัน ต้องทานยาแก้ปวด นั่งสมาธิดีขึ้นนิดหน่อย ฉันจะทำอย่างไรดีคะ หรือว่าเป็นกรรมเก่า
อาการเครียด เป็นลักษณะของโทสะ ธรรมที่เป็นข้าศึกโดยตรงคือ เมตตา อีกอย่างหนึ่ง การเจริญกุศลทุกประการ เป็นการบรรเทาอกุศลได้บ้าง แต่ไม่สามารถดับได้ เป็นสมุทเฉท ต้องอาศัยปัญญาขั้นโลกุตตระ จึงจะดับอกุศลธรรมได้ สำหรับวิธีคลายเครียดทางโลก เขาก็มีวิธีหลายอย่าง ตามสมควรแก่อาการของผู้เครียด เช่น การเปลี่ยนอารมณ์ โดยการพักผ่อน บันเทิงต่างๆ บ้าง การเล่นกีฬา การมีกิจกรรม สนทนากับเพื่อนๆ บ้าง ในทางธรรม ในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ได้กล่าวถึงการแก้อกุศลที่เกิดขึ้น เช่น การบรรเทาโทสะ ด้วยหลายวิธี เป็นต้นว่า ถ้าโกรธเขา ก็ควรคิดถึงความดีของเขา การพิจารณาถึงโทษของความโกรธ การพิจารณาถึงการเคยเป็นญาติกันในอดีต การพิจารณาโดยความเป็นธาตุ เป็นต้น ย่อมบรรเทา ความโกรธได้ หรือสมาชิกท่านใดมีวิธีคลายเครียด ขอเชิญแสดงความเห็น
คุณรัชนีกร ครับ ผมมั่นใจว่า การใช้ปัญญา น่าจะเป็นวิธีที่ดีนะครับ ลองคิดตามผมดูนะครับ
ประการแรก คุณรัชนีกร ลองศึกษาความเครียดที่คุณรัชนีกร เรียกว่า ความเครียดที่คุณรัชนีกรเป็นนั้น คืออะไร เหมือนผมทำในเวลานี้นะครับ ผมชอบที่จะคิดนึกย้อนกลับไปในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วใคร่ครวญให้รู้ว่าคืออะไร คิดนึกอย่างมีเหตุมีผลนะครับ
คุณรัชนีกรเชื่อไหมครับว่า พอใคร่ครวญแบบให้ความยุติธรรมจริงๆ แล้ว เราจะพบว่า เหตุผลมักจะมาจาก ๓ เรื่องเป็นสำคัญ คือ
๑. เรื่องของความโกรธ
๒. เรื่องของความ "โลภ" อยากได้แล้วไม่ได้ ความอยากทั้งหลายนี้แหละครับเป็นเรื่องสำคัญ
๓. ส่วนเรื่องนี้ยากหน่อยแต่ผมเชื่อว่า ต้นตอของมันคือ เรื่องนี้ คือ เรื่องโมหะ
ทั้งหมดนี้ คือ การแก้ด้วยปัญญา แต่ก็อีกนั่นแหละครับ วิธีการนี้ไม่ทันใจเหมือนกินยา แต่ถ้าเข้าใจจะหายขาดนะครับ ผมเป็นตัวอย่างครับ ก่อนนี้ผมเป็นคนเจ้าอารมณ์เป็นที่หนึ่ง จึงเครียดมาก แต่เดียวนี้ผมมีธรรมะ แล้วครับ คือ มีสติระลึกรู้อยู่กับปรากฏการณ์ที่เกิด และเข้าใจสิ่งที่เกิด แต่ยังอ่อนเยาว์เหลือเกิน แต่ดีมากครับ ผมคิดว่าคุณควรลองศึกษาด้วย
ในเมื่อความเครียด คือ โทสะ เราควรที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะนี้เราคือใคร เรา คือปุถุชนซึ่งเมื่อมีเหตุปัจจัย โทสะย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา การที่จะละคลาย ความโกรธได้บ้างนั้น ก็คือเราต้องมีความเข้าใจถูกว่า ความโกรธ (เครียด) ที่เกิดขึ้น นั้นไม่ใช่เรา เป็นเพียงสภาพธรรม เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและก็ดับไป และควรรู้ด้วยว่า ผู้ที่ดับโทสะได้เป็นสมุทเฉทนั้น คือ พระอนาคามี ดังนั้น จึงควรศึกษาพระธรรม เพื่อให้เกิดความเข้าใจ (ปัญญา) ซึ่งเป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งให้มีความเห็นถูก และละคลายความเห็นผิดว่าเป็นเรา ได้ก่อนเป็นสำคัญ จึงขอให้ศึกษาธรรม อย่างอาจหาญและร่าเริง ครับ
ดิฉันก็กำลังเป็นอาการนี้อยู่เลยละค่ะ เป็นความเครียดที่เกิดจากการทำงานไม่ทันเวลา และเกรงว่าคนอื่นอาจต้องลำบากเดือดร้อนเพราะดิฉันได้ ดิฉันไม่ได้ปวดศีรษะแต่เป็นอาการไม่หลับ เพลียมาก อยากนอนแต่ไม่หลับ แรกๆ เหนื่อยมาก และค่อนข้างกังวล ต่อมาจึงคิดว่า ไม่หลับก็ไม่หลับ เดี๋ยวร่างกายเหนื่อยมากๆ ทนอยู่ไม่ได้ก็คงหลับได้เอง ตอนนี้ดีขึ้นบ้างแล้ว เพราะไม่ได้ใส่ใจกับการจะหลับหรือไม่หลับ ไม่ไปทุกข์ร้อนกับมัน ทุกวันยังไปทำงานตามปกติ อาการทั้งหมดนี้ ดิฉันเห็นด้วยว่า คงเป็นเรื่องลักษณะของโทสะจริงๆ เมื่อไม่เดือดร้อนใจกับอาการที่เกิดทางกาย ในที่สุดดิฉันก็ค่อยๆ นอนหลับเพิ่มขึ้นได้เอง สามวันมานี้มีอาการไอเพิ่มมาอีกอย่าง อยู่ๆ ก็ไออย่างหนักจนเกือบแย่ วันแรกไอหลายหนมาก แต่ครู่เดียวอาการก็กลับมาปกติราวครึ่งชั่วโมง จึงกลับมาไอหนักๆ อีกทีดิฉันก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนใจกับเรื่องนี้เช่นเดิม จึงสังเกตว่าความห่างของการไอแต่ละครั้งนั้นนานขึ้นทุกทีค่ะ ขอบคุณคำถามของคุณรัชนีกร และขอบคุณคำอธิบายจากความเห็นของท่านต่างๆ มากค่ะ ดิฉันจะนำไปพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบมากยิ่งขึ้น
ขออนุโมทนา
ขอเชิญคุณรัชนีกรอ่านข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องความเครียดได้ที่นี่ครับ
ความเครียดเป็นลักษณะของโทสะครับ อาจจะเป็นความโกรธหรือความกลัว ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เราไม่ชอบเลย วิธีการคลายเครียดในความเห็นของผม มีสองแนวทางครับ แนวทางแรก เป็นแบบทางโลกนั่นคือแสวงหาความรู้สึกที่น่ายินดีพอใจ มาทดแทนสิ่งที่ทำให้โทสะเกิด ได้แก่ การทำในสิ่งที่เราชอบ และให้ความเพลิดเพลินต่างๆ ซึ่งแต่ละคนก็สะสมความพอใจมาต่างๆ กัน
บางคนชอบรับประทาน บางคนชอบเล่นกีฬา บางคนชอบท่องเที่ยว ฯลฯ โดยสรุปก็คือ หากิจกรรมที่เราชอบ ทำแล้วมีความสุข ก็จะช่วยคลายความเครียดได้ แต่ถ้าหากมีอาการทางกายร่วมด้วย เช่น ปวดศรีษะอย่างรุนแรง ก็อาจต้องใช้ยาบรรเทาอาการเหล่านั้น เพราะบางคราวร่างกายอาจเจ็บป่วยได้ด้วยเหตุอันมาจากจิตใจ การเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็ไม่ใช่สิ่งผิดปกติแต่อย่างใด
วิธีคลายเครียดอีกแนวทางหนึ่ง เป็นการศึกษาและปฏิบัติ ตามพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ครับ นั่นคือการทำความดีอันจะนำความสุขทางใจมาสู่ผู้ทำความดีนั้นเอง เป็นแนวทางที่ประเสริฐกว่าแนวทางแรก เพราะแนวทางแรกนั้นเป็นการแสวงหาความเพลิดเพลินยินดีด้วยโลภะ ซึ่งถ้าหากไม่ได้ตามที่ต้องการหรือได้รับความพึงพอใจมากเท่าที่หวังไว้ ก็จะเป็นเหตุให้เกิดความเครียดมากขึ้นได้ส่วนวิธีทำความดีหรือการทำบุญนั้น คุณรัชนีกรศึกษาได้จากเวปบ้านธัมมะนี้ หรือจากท่านผู้รู้ที่มูลนิธิฯ ครับ
วิธีหนึ่งที่ผมเคยใช้ได้ผลเมื่อเกิดความเครียด คือ การไปที่มูลนิธิฯ ครับ ที่นี่มีการบรรยายธรรมอยู่เป็นประจำ แต่เราจะมานั่งพักผ่อนเฉยๆ ก็ไม่มีใครบังคับว่าต้องทำอะไรอย่างไรก็ดี หากเราใช้โอกาสนี้ฟังการสนทนาธรรมด้วยความตั้งใจ ก็จะเกิดประโยชน์อย่างสูงที่สุด ครับ
ความหมกมุ่นหรือเก็บกดความรู้สึกในเรื่องที่ทำให้เครียด ก็มีแต่จะเกิดโทสะสะสมต่อๆ ไป ดิฉันเคยนั่งสมาธิ โดยคิดว่าการนั่งหลับตา เป็นการผ่อนคลายความเครียด แต่พบว่า มีผลเพียงชั่วคราว หลังจากนั้นก็เหมือนเดิม เมื่อสิ่งที่เคยทำให้เครียดมากระทบอีกก็รับไม่ไหว บางครั้งถึงขนาดต้องร้องไห้ออกมาดังๆ
แต่เมื่อดิฉันได้มีโอกาสมาศึกษาธรรมที่มูลนิธิฯ ดิฉันพบว่า ความเข้าใจแม้จะทีละเล็กทีละน้อย ช่วยละคลายโทสะ ได้อย่างไม่เก็บกด ซึ่งทำให้สุขภาพกาย ดีขึ้นโดยปริยาย จนเพื่อนๆ ทักว่า มีหน้าตาที่สดชื่น และใสกว่าเดิมมาก
ตามแนวทางของเหตุและผล ดิฉันมักจะตรวจสอบก่อนว่า ความเครียด เกิดจาก เรื่องใดก่อน และพิจารณาสิ่งนั้น เพื่อเป็นการเรียนรู้ถึงสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ตามเหตุและปัจจัย ซึ่งมิได้อยู่ในอำนาจและบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น และเห็นได้ว่าเมื่อผ่านมาแล้วก็มีวันที่จะผ่านไป เช่นเดียวกับความสุขต่างๆ ที่เราเข้าใจว่าได้รับในชีวิตประจำวัน ก็ไม่เคยอยู่กับเรานาน
นอกจากนี้ ในการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ทำให้ดิฉันเริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยว่า ควรได้รับการอบรมเพื่อศึกษาธรรม เพื่อให้ระลึกได้จริงๆ ว่า ไม่มีเรา มีแต่จิต เจตสิก รูป ที่มีอยู่ในชาตินี้ที่จะดำเนินไปตามสภาพธรรมที่เป็นจริง ซึ่งทำให้ดิฉันรู้สึกเบาสบายและเริ่มเห็นโทษของโทสะ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งโทสะ เป็นอกุศล ที่ไม่สมควรจะสะสม และไม่สามารถเปลี่ยนผลของสิ่งใดตามที่ต้องการได้ภายใต้ความเครียด เพราะผลที่เกิดก็เหมือนเดิมเพราะเกิดมาจากเหตุ และปัจจัยนั้นๆ ดังนั้น ปัจจุบันเมื่อพบกับความเครียด ดิฉันจะปรับสภาพความรู้สึกได้ไวมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นค่ะ
สวัสดีค่ะคุณรัชนีกร อ่านที่คุณบอกว่าปวดหัวทุกวัน ยังไงลองศึกษาธรรมตามที่ท่านทั้งหลายในกระทู้นี้ได้แนะนำ น่าจะผ่อนคลายขึ้น ถ้าเจริญกุศลจิตตามความเป็นจริงของสภาพความเครียด หรือความล้าจะหายไปค่ะ ดิฉันก็เคยเป็น แต่พอพิจารณาว่าไม่ใช่เรา ไม่มีตัวตนที่จะปฏิบัติอะไร มีเพียง นามธรรม รูปธรรม ที่กำลังปรากฏ พอจิตตอนนั้น กุศลเกิดทำให้เกิดการผ่อนคลายที่แท้จริงค่ะ บางท่านคลายเครียดด้วยการฟังเพลงดูหนัง จริงๆ มันก็น่าจะแก้ได้นะคะ แต่ไม่ชุ่มฉ่ำ สุขุม ลุ่มลึก ถาวร แบบพระธรรม คือ การเจริญกุศลจิต ดิฉันว่าเป็นการผ่อนคลายจิตใจที่ดีที่สุด ไม่ประกอบด้วยโลภะ คือบางคนหาบรรยากาศดีๆ เสียงเพราะๆ กลิ่นหอมๆ เพื่อดับโทสะ แต่ก็ไม่ใช่กุศลจิต จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความเครียดในคราวต่อไป เมื่อไม่ได้สิ่งที่พอใจในอารมณ์เหมือนทุกครั้ง ส่วนที่ดิฉันจะแนะนำเพิ่ม ก็คือต้องว่าด้วยเรื่องอาการด้วย น่ะค่ะ เพราะอาการปวดหัว แบบนี้น่าจะเป็นโรคอย่างหนึ่ง บางที อาจไม่รู้ว่ากำลังเครียดนะคะ บางทีการเพ่งพินิจสิ่งใดนานๆ โดยที่อาจไม่ประกอบด้วยกุศลจิตในขณะนั้น อาจเป็นสาเหตุให้ปวดหัวก็ได้ เพราะเวลาเครียด ร่างกายจะหลั่งสารอะดรีนาลิน ทำให้กล้ามเนื้อและเส้นประสาทตึงเครียด ทำให้ปวดหัวเรื้อรัง หรือไม่ก็เป็นไมเกรน ดิฉันก็ฟังพระธรรม หรืออ่านพระธรรม ที่อาจารย์สุจินต์ ท่านกรุณานำมาบรรยายให้มากๆ ในช่วงที่เครียดหรือปวดหัวและไม่สบายตัวนั้น เมื่อกุศลจิตเกิดจะผ่อนคลายประสาทและร่างกายได้มาก (และเกิดปัญญาขั้นฟังด้วย)
ส่วนยา ก็ต้มดอกเก๊กฮวยไม่ใส่น้ำตาลดื่มเข้มๆ แก้ปวดหัวไมเกรนได้ ดิฉันก็เคย เป็นไมเกรน หายเพราะต้มดอกเก๊กฮวย ต้มดื่มแบบรสเข้มๆ ไม่ใส่น้ำตาล แล้วก็กินอาหารที่มีแร่ธาตุแมกนีเซียมเยอะๆ หน่อย จะผ่อนคลายประสาทได้มาก ยาพาราหรือ ยาแก้ปวดแผนปัจจุบันให้หยุดทาน เพราะเพียงแค่ระงับเท่านั้น พอหมดฤทธิ์ยาก็ปวด อีกอาจปวดมากกว่าเก่า เพราะทำให้ไม่ชิน
ขณะที่ไม่เครียด..ก็หายเครียด เช่น ขณะเห็น ขณะได้ยิน เป็นต้น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม ...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์