เห็น เป็น ธรรม อย่างไร

 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่  3 ต.ค. 2556
หมายเลข  23756
อ่าน  901

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

ขอความอนุเคราะห์ ช่วยแสดงธรรมและคำอธิบาย เรื่อง "เห็น" ค่ะ เห็น เป็น ธรรม อย่างไร (โดยประการต่างๆ ทั้งหมดทั้งปวง โดยตามลำดับ)

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาสำหรับคำตอบและกุศลทุกประการของทุกๆ ท่านค่ะ ด้วยความเคารพ จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เห็นเป็นสภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นจิตปรมัตถ์ ไม่ใช่เราเห็น คือ เป็นสภาพธรรมที่เรียกว่า จักขุวิญญาณจิต ซึ่ง ทำกิจหน้าที่เห็น เห็นอะไร เห็นสิ่งท่ปรากฎทางตา หรือ ที่เรียกว่า สี เห็น ที่เป็น จักขุวิญญาณ มี ๒ ประเภท คือ จักขุวิญญาณกุศลวิบาก และ จักขุวิญญาณ อกุศลวิบาก จิตเห็น จึงเป็นจิตชาติวิบาก ที่เป็นผลของกรรม จึงมีทั้งการเห็นสิ่งที่ดี ที่เป็น กุศลวิบาก และ เห็นสิ่งที่ไม่ดี ที่เป็น อกุศลวิบาก เห็น เมื่อเป็นจิตแล้วก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เป็นใหญ่ในการรู้ รู้อะไร รู้สิ่งที่ปรากฎ ทางตา ไม่ใช่รู้เสียง

เห็น ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เพราะเหตุใด เพราะมีลักษณะให้สามารถรู้ได้ เพราะเป็น สภาพธรรม ที่เป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่ในการรู้ และเมื่อว่าโดยละเอียดในคำว่า เห็น เห็น มี ๒ อย่าง คือเห็นด้วย ตา ที่เป็นจักขุวิญญาณ และ เห็นด้วย ตา คือ ปัญญา คือ เห็นตามความเป็นจริง

การเห็นด้วยตา คือจักขุวิญญาณ เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ทำหน้าที่เห็น แต่ไม่ได้เห็น ตาม ความเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงธรรม เพราะ เป็นจิตชาติวิบาก ไม่ได้มีปัญญาเกิดร่วมด้วย จึงไม่รู้ตามความเป็นจริง

การเห็นด้วยปัญญา คือ ความเห็นถูก ที่เกิดขึ้นรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฎ ในขณะนี้ว่า เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน ขณะนั้น เห็นถูก ใน ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ชื่อว่าเป็นการเห็นที่ประเสริฐที่สุด เพราะเป็น การเห็นด้วยตาปัญญา ที่ทำให้สามารถละ อวิชชา ที่ปิดบังไม่ให้รู้ความจริง

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ แม้จะเห็นโลกอย่างแจ่มแจ้งด้วยตาของตนเอง แต่เป็นการเห็นที่ ไม่เป็นความจริง ถูกหลอกลวงด้วยกิเลส จึงเปรียบเหมือนคนที่ตาบอดอยู่

เพราะฉะนั้น ควรที่จะแสวงหาประทีป คือ ปัญญา เพื่อทำให้เห็นโลก ตามความเป็นจริง ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฎ อย่างแจ่มแจ้ง ด้วยปัญญา ที่เป็นการเห็นที่ล้ำค่า และ สุงสุด ซึ่งจะมีได้ ก็ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็นสำคัญ ครับ

เชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ครับ

พระอรหันต์เห็นต่างจากเราเห็นอย่างไร

ถ้ามีพระอรหันต์รูปหนึ่ง องค์หนึ่งอยู่ที่นี่ จิตของท่านจะต่างจากผู้ที่เป็นปุถุชน หรือผู้ที่เป็นพระอริยะขั้นต้นๆ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี เวลาที่เห็นเป็นปกติในชีวิตของท่านแม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เห็น คนที่มีกิเลสก็เห็น เพราะฉะนั้นความต่างกันก็คือว่า หลังจากเห็นแล้ว คนมีกิเลสเป็นโลภะบ้าง เป็นโทสะบ้าง แต่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ เมื่อเห็นแล้ว กิเลสไม่มีเลย ไม่มีรัก ไม่มีชัง ไม่มีอวิชชา ไม่มีความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นความต่างกันนี่เกิดจากอะไร ต้องเกิดจากปัญญาที่สามารถจะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่าเห็น หลังจากเห็นแล้วโลภ โกรธ แต่ผู้ที่เห็น หลังจากที่เห็นแล้ว ปัญญาเกิด เพราะฉะนั้นผู้ที่ฟังพระธรรมแล้วสามารถที่จะมีปัญญาขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ ก่อนที่จะถึงความเป็นพระอริยบุคคล ต้องมีการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ เข้าใจจริงๆ

ในเรื่องของสภาพธรรมก่อน

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 3 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ คือ เห็น กล่าวในภาษาไทยธรรมดาๆ คือ "เห็น" ก็เข้าใจธรรมในภาษาของคนไทย เห็น เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เราที่เห็น เมื่อเห็นเกิดขึ้นก็ต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้น จะไปเห็นอย่างอื่น ไม่ได้ จะไปเห็น เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไม่ได้ นี้คือ ความเป็นจริงของ เห็น และ เห็นจะเกิดขึ้นเองลอยๆ ไม่ได้ เห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องมีกรรมเป็นปัจจัย จึงทำให้มีการเห็นเกิดขึ้น

นอกจากนั้น ก็ต้องมีเจตสิกธรรม เกิด ร่วมด้วย มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ และมีที่เกิดของ จิตเห็น คือ จักขุปสาทะ ด้วย เมื่อค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกอย่างนี้ ก็พอจะเข้าใจได้ว่า ไม่มีเราแทรกอยู่ ใน สภาพธรรม "เห็น" เลย เพราะเห็นเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ความเข้าใจ ก็จะต้องค่อยๆ มั่นคงขึ้น จนกว่าจะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตาม ความเป็นจริงว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ครับ

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 3 ต.ค. 2556

เห็นเป็นธรรม ที่ต่างจากได้ยิน ต่างจากการกระทบสัมผัส เป็นธาตุแต่ละชนิดที่ทำหน้าต่างกัน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Parinya
วันที่ 4 ต.ค. 2556

ขออนุโมทนากับท่านผู้ถาม และ ท่านอาจารย์วิทยากรผู้ตอบด้วยครับ

แต่พอจะอ่านเพิ่มเติม "เห็นเป็นธรรม" ก็พบว่า "Error loading player. No playable sources found".

ขออนุญาติท่านเจ้าของกระทู้ เข้าร่วมสนทนาและถามคำถามครับ

ขณะนี้ หลังการเห็นของผมก็เป็น "โลภ ... เป็น ... โกรธ ปรากฏมากมายในชีวิตประจำวัน และอีกอย่างครับ บางครั้ง เห็นแล้วก็ ไม่มี ความโลภ ความโกรธ แต่คงเป็นความหลง เพราะ การเห็น ไม่ประกอบด้วยปัญญา ฉะนั้น หลังเห็นแล้ว ไม่รู้ว่าสภาพธรรมอะไรเกิด นั่นคือโมหะ ใช่ ใหมครับ?

เมื่อเห็นแล้ว รู้ว่า มีความโลภเกิดร่วมด้วย ขอยกตัวอย่างจากประสพการณ์ นะครับ ขณะเดินในห้าง เห็นเสื้อผ้า ก็ชอบทันที ก็รู้ว่ามีความโลภ เพราะความชอบเกิดเพราะ การสะสมของจิตที่ยังมีกิเลิส ชอบในสิ่งที่สวยงาม แต่เมื่อชอบเสื้อผ้าชิ้นนั้น ก็รู้ว่าชอบ ก็พิจรณา ว่าสมควรที่จะซื้อใหม? หลายครั้ง ที่ผมซื้อเสื้อผ้าใหม่ก็ซื้อด้วยโลภะ แต่หลาย ครั้งก็ไม่ซื้อ เพราะ แพงไปบ้าง เพราะเกิน ความจำเป็นบ้าง การไม่ซื้อเกินความจำเป็น เป็นการขัดเกลากิเลสใช่ใหมครับ?

ขอยกตัวอย่าง จากประสพการณ์ เรื่องของความโกรธ ความโกรธก็เป็นสภาพธรรม อย่างหนึ่ง ที่เกิดกับจิต เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมก็เกิดขึ้น จะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ ละคนที่สะสมมา ถ้าความเข้าใจพอก็จะละความโกรธได้รวดเร็วกว่าผู้ทีัไม่ได้ศึกษาพระ ธรรม ความโกรธเป็นอน้ตตาไม่มีใครบังคับบัญชาได้ เมื่อมีความโกรธเกิดขึ้นในจิตแล้ว ก็รู้ว่าโกรธ รู้ถึงลักษณของความโกรธ และรู้ว่าขณะจิตนั้นมีแต่ความอัดอั้น ความไม่ สบายใจ ความไม่พอใจเกิดขึ้นอยู่กับจิต จะไปคิดดับความโกรธทันที หรือไปบริกรรมคำ ใดๆ ก็มิใช่ความเข้าใจที่ถูก แต่ถ้าพิจรณาถึงสาเหตุของความโกรธนั้นเกิดจากสาเหตุ อะไร? และพิจรณาโทษของความโกรธ ก็จะละคลายความโกรธได้ง่ายขึ้น แต่ความโกรธ ไหม่เมื่อมีปัจจัยให้เกิดขึ้นอีกก็ย่อมเกิดขึ้นได้ แล้วแต่การสะสมความเข้าใจของแต่ ละคน ขอถามว่า เป็นความเข้าใจเรื่องของความโกรธถูกต้องอย่างไร? เพราะศึกษา เพื่อขัดเกลากิเลสครับ

ขออนุโมทนา

ปริญญา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 4 ต.ค. 2556

ขอความอนุเคราะห์ ช่วยแสดงธรรมและคำอธิบาย เพิ่มเติม เรื่อง "เห็น" ค่ะ วิถีจิตของการเห็น ตั้งแต่ก่อนลืมตาตื่น แล้วลืมตาตื่น แล้วเห็นสี (หรือแล้วเห็นความมืด) แล้วระลึกรู้ว่าเห็นเป็นธรรม แล้วนึกได้จำได้ว่าเห็นเป็นวัตถุอะไร (หรือนึกว่ามืดไม่เห็นอะไร) หรือนึกว่าเห็น แต่ไม่รู้ว่าเป็นวัตถุอะไร แล้วจบการเห็น เรียกว่า ๑ ขณะ ตอนไหน ช่วยแสดงเป็นลำดับ ตามชื่อวิถีจิต ตามกิจหน้าที่ของจิต ประกอบกับลำดับการเกิดปรากฏของรูป หรือสิ่งที่ปรากฏทางตา (ขอประทานโทษ ถามผิดถูกตามประสาผู้แสวงหาความเข้าใจ ซึ่งไม่ใช่ฐานะ)

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาสำหรับคำตอบและกุศลทุกประการของทุกๆ ท่านค่ะ ด้วยความเคารพ จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
j.jim
วันที่ 4 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Parinya
วันที่ 8 ต.ค. 2556

ขออนุญาติแนะนำท่านผู้อ่าน กระทู้ "เห็น เป็น ธรรมอย่างไร" (โดยประการต่างๆ ทั้งหมดทั้งปวง โดยตามลำดับ)

1. ถ้าโกรธเกิดขึ้น ก็รู้ว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรม ที่มีจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เรา เขียนโดย คุณ primsombat 10 ธันวาคม 2553

2. เครื่องพิสูจน์ว่ายังเป็นผู้ไม่เข้าใจธรรม เขียนโดย คุณ เมตตา 15 ธันวามคม 2555

ขออนุโมทนาครับ

ปริญญา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 27 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ