ทุกสิ่ง ทุกอย่างเป็น ธรรมะ

 
เข้าใจ
วันที่  4 ต.ค. 2556
หมายเลข  23763
อ่าน  1,213

กราบเรียน ท่านอาจารย์ และ อาจารย์ทุกๆ ท่านครับ

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะ ธัมมะ ดูเหมีอนว่าอะไรๆ ก็เป็นธรรมะ มีเรื่องราว มีบัญญัติ

มีปรมัตถธรรม มีเห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส กระทบ เย็น ร้อน ออ่น แข็ง ตึง ไหว และคิดนึก

คิดเอาเองว่าเป็นธรรมะ ตั้งธงเอาไว้เลยว่าเป็นธรรมะทั้งนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ให้คิด

ว่าเป็น ธรรมะ ทั้งหมดจะถูกต้องไหมครับ

กราบเรียนด้วยความเคารพครับ ขออาจารย์ช่วยขยายความเพิ่มเติมเพื่อการศึกษาและ

ความเข้าใจที่เกิด สติและปัญญาเห็นถูกเข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริงด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 4 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเป็นจริงของธรรม เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่มีใครไปเปลี่ยน

แปลงได้ มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม

แล้ว ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้เลย

ก็ต้องตั้งต้น ตั้งแต่คำแรกเลยที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจโดยตลอด นั่นก็คือ คำว่า

ธรรม คำว่าธรรม เป็นคำมาจากภาษาบาลี แต่ถ้าเป็นคำไทยแล้วก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ

แล้วสิ่งที่มีจริงๆ นั้น คือ อะไร? คือ ขณะนี้หรือไม่? ที่กำลังเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น

ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ขณะที่เป็นกุศล ความดีงามเกิดขึ้นเป็นไป มีเมตตา

ให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม เป็นต้น หรือ ในทางตรงกันข้าม ขณะที่อกุศลเกิด ไม่ว่า

จะเป็นความติดข้องยินดีพอใจ หรือ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ตลอดจนถึงสิ่ง

ที่ไม่ดีประการอื่น ล้วนเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ นอกจากนั้นแล้ว

สิ่งที่มีจริง ที่ไม่ใช่สภาพรู้ คือ รูปธรรมก็มีจริงๆ สี มีจริง เสียงมีจริง เป็นต้น เหล่านี้

ทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน

เลย เพราะมีสภาพธรรมที่มีจริง จึงมีบัญญัติให้รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น เป็นคนนั้น

คนนี้ ชื่อนั้นชื่อนี้ หรือ เป็นโต๊ะ เก้าอี๊ ต้นไม้ เป็นต้น ก็เนื่องจากมีสภาพธรรมที่มี

จริงๆ นั่นเอง ยิ่งถ้าได้สะสมความเข้าใจไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งจะมั่นคงว่า สิ่งที่มีจริงๆ นั้น

คือ ขณะนี้ที่เป็นนามธรรมกับรูปธรรมนั่นเอง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 4 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรม ที่มุ่งหมาย ว่าทุกสิ่งทุอย่างเป็นธรรมเพือเข้าใจความจริงว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล

เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา มุ่งหมายถึง สภาพธรรมที่มีจริง ที่มีลักษณะ นั่น คือ จิต

เจตสิก และ รูป แต่ไม่รวมถึง บัญญัติ เรื่องราว ที่เป็นสมมติบัญญัติ ที่ไม่มีลักษณะให้รู้

ได้ เพราะฉะนั้น การจะเข้าใจความจริงของสภาพธรรม ต้องเข้าใจตัวจริงที่เป็น สภาพ

ธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ที่มีลักษณะให้รู้ เช่น เห็น ได้ยินได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส

คิดนึก โลภะ โทสะ กุศลจิต อกุศลจิต เหล่านี้ที่เกิดขึ้นให้เข้าใจว่าเป็นแต่เพียงธรรม

ไม่ใช่เรา แต่ไม่ได้หมายถึง เรื่องราว ที่คิดเป็นไปต่างๆ หรือ การเห็นเป็นสัตว์ บุคคล

ควรรู้ เพราะเหตุว่า ไม่สามารถรู้ได้ เพราะ ไม่มีลักษณะให้รู้ แต่ เป็นสิ่งที่ควรไถ่ถอน

ละ ว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนครับ

ดังนั้น หนทางการอบรมปัญญาที่ถูกต้อง คือ การเข้าใจถูกในขั้นการฟังให้เข้าใจว่า

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม หมายถึง สภาพธรรมที่มีจริงที่มีลักษณะให้รู้ ที่ไม่ใช่

เรื่องราวบัญญัติ เป็นธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งการจะรู้เช่นนี้ได้ก็ด้วยการอาศัยการฟัง

การศึกษาพระธรรมเป็นสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องสภาพธรรมที่มีจริง แม้แต่คำว่า

ธรรม คืออะไรเพื่อที่จะไม่ต้องปนกับ เรื่องราว บัญญัติที่ไม่ใช่สภาพธรรมที่มีจริง

ครับ อนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เข้าใจ
วันที่ 4 ต.ค. 2556

กราบขอบพระคุณ อาจารย์ครับ

อาจารย์ครับ พระธรรมมีความละเอียดลึกซึ้งอย่างมาก อยากที่จะเข้าใจแจ้งชัดตรงตามความเป็นจริงได้ ไม่ง่ายเลยครับ ผมเข้วใจว่าการได้ฟังพระธรรม และอ่านสนทนากระทู้ธรรมต่างๆ นั้น จะต้องกล่าวว่าเป็นการฟังและการอ่านในปฎิภารไหวพริบปัญญา และเป็นโวหารเทศนาของท่านอาจารย์ และอาจารย์อีกหลายๆ ท่านอย่างแท้จริง ขณะฟังผมก็จดจ้องถ้อยคำธรรมะว่าท่านอาจารย์จะกล่าวคำธรรมะอะไร ที่เป็นที่ซาบซึ้งและประทับใจแต่ไม่ได้เข้าถึงธรรมะณขณะนั้นครับ เข้าใจ ไม่เข้าใจ ซาบซึ้ง ประทับใจ และมีศรัทธา ลัวนแลัวเป็นแต่ละหนึ่งเป็นธรรมะใช่ไหมครับ แล้วชอบใจ ติดข้อง ติดในคำ อยากฟังมากๆ อยากเข้าใจก้น่าจะเป็นธรรมะใช่ไหมครับ

ขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 5 ต.ค. 2556

เรียนความเห็นที่ 3 ครับ

ทุกสิ่งไม่พ้นจากธรรมที่มีจริง ยกเว้น บัญญัติ เรื่องราว หรือ คำที่คิดนึก ต่างๆ

แต่ สิ่งที่มีจริง ในขณะนั้น คือ จิตที่คิดนึก คิดนึกเป็นไปในทางกุศล บ้าง อกุศล

บ้าง อย่างไรก็ดี แม้ความซาบซึ้ง ก็เป็นธรรม การติดในคำ ก็เป็นธรรม ทั้ง กุศล

อกุศล ก็เป้นธรรมะ ดังนั้น หนทางที่ถูก คือ ให้เข้าใจถูกในสิ่งที่เกิดแล้ว ว่ามีเหตุ

ปัจจัย และ เป็นธรรมดาที่จะเกิด อกุศล และ แม้อกุศลก็เป้นธรรม เพระาฉะนั้น การ

เข้าใจเช่นนี้ ก็ไม่บังคับ แต่ ปล่อยด้วยความเข้าใจ ที่จะเห็นความจริงของสภาพธรรม

ที่เป็นอนัตตา หน้าที่ที่ถูกที่สุด คือ การฟังพระธรรม ศกึษาพระธรรมเต่อไป

เป็นสำคัญ ขออนุโมทนา ครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ