ชวนจิต 7 ขณะเกียวข้องกับเรื่อง 7 ชาติของพระโสดาบันหรือไม่

 
สิริพรรณ
วันที่  10 ต.ค. 2556
หมายเลข  23827
อ่าน  1,340

ขอกราบเรียนถามว่า

1. ผู้บรรลุโสดาปัตติผลจะเวียนว่ายในสังสารวัฎอีกเพียงไม่เกิน7ชาติ มีเหตุเกี่ยวข้องกับชวนจิต 7ขณะหรือไม่คะ

2. ผู้บรรลุสกทาคามิผล อนาคามิผลแล้วก็จะยิ่งใช้เวลาน้อยกว่าข้อ1.ใช่หรือไม่คะ

3. ความรู้สึกเบื่อ อยากได้ อยากพ้น ชอบ ไม่ชอบ ก็รู้สึกทุกข์ แต่พอประจักษ์ว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ก็ทำหน้าที่ไปตามนั้นให้ดีที่สุด โดยไม่คาดหวัง แล้วได้รู้สึกว่ามันเบา สบายกว่าเดิม เพราะได้ฟังธรรมบ่อยๆ เนืองๆ เป็นการเริ่มใช้ปัญญาไหมคะ

กราบขอบพระคุณท่านผู้ให้ความกระจ่างเป็นอย่างสูงค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 10 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1. ผู้บรรลุโสดาปัตติผลจะเวียนว่ายในสังสารวัฎอีกเพียงไม่เกิน 7 ชาติ มีเหตุเกี่ยวข้องกับชวนจิต 7 ขณะ หรือไม่คะ

ชวนจิต 7 ขณะ ที่ถึงกับเป็นกุศลกรรมบถ กับอกุศลกรรมบถ เมื่อมีเหตุปัจจัยย่อมให้ผล ซึ่ง ชวนจิต ขณะแรกให้ผลในชาตินี้ ชวนจิต ขณะที่ 7 ให้ผลในชาติหน้า และ ชวนจิต ขณะที่ 2-6 ให้ผลในชาติถัดๆ ไป ตราบใดที่ยังมีกิเลส มีขันธ์ ซึ่งพระโสดาบัน จะเป็นผู้ที่เกิดไม่เกิน 7 ชาติ ซึ่งพระโสดาบัน ยังแบ่งเป้น 3 จำพวก ตามกำลังปัญญา ผู้ที่ปัญญามาก ก็เกิดเพียงอีกชาติเดียวก็บรรลุ และอย่างมากที่สุดคือ ไม่เกิน 7 ชาติ แสดงว่าท่านได้อบรมปัญญา ดับกิเลสไปตามลำดับกิเลสนี้เอง ที่จะเป็นปัจจัยให้มีการเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น ท่านก็ดับกิเลส ที่จะไม่เกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ แม้จะมีอกุศลกรรมที่เคยทำในอดีต แม้ใน ชวนจิต ขณะที่ 2-6 ก็ตาม ที่จะให้ผลในชาติถัดไป แต่เมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ในชาติที่ 7 และปรินิพพาน ก็ไม่มีการเกิดขึ้นของขันธ์ เมื่อไม่มีการเกิดขึ้นของ จิต เจตสิก รูป ชวนจิต 7 ขณะ ก็ไม่สามารถที่จะมีการให้เกิดวิบากได้อีก ครับ

2. ผู้บรรลุ สกทาคามิผล อนาคามิผล แล้วก็จะยิ่งใช้เวลาน้อยกว่า ข้อ 1. ใช่หรือไม่คะ

พระโสดาบันที่มีปัญญามาก ชื่อว่า เอกพีชชี จะเกิดอีกเพียงชาติเดียว ก็บรรลุธรรม แต่โดยมากแล้วพระโสดาบัน เกิดไม่เกิน 7 ชาติ ย่อมเกิดมากกว่า พระสกทาคามี และ พระอนาคามี ครับ

3. ความรู้สึกเบื่อ อยากได้ อยากพ้น ชอบ ไม่ชอบ ก็รู้สึกทุกข์ แต่พอประจักษ์ว่า ปล่อยให้มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ก็ทำหน้าที่ไปตามนั้นให้ดีที่สุด โดยไม่คาดหวังแล้ว ได้รู้สึกว่ามันเบา สบายกว่าเดิม เพราะได้ฟังธรรมบ่อยๆ เนืองๆ เป็นการเริ่มใช้ปัญญาไหมคะ

ถูกต้อง ครับ ถ้าเราเข้าใจความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม คือ บังคับไม่ได้ ก็ไม่มีเรา ไม่มีใครไปจัดการสภาพธรรมอะไรได้เลย จะพยายามให้เกิดสติ จะพยายามไม่ให้ทุกข์ก็เป็นไปไม่ได้ หน้าที่ คือ การอบรมเหตุ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไป นั่นคือ ปัญญาเริ่มเกิดแล้ว อันเป็นหนทางที่ถูกต้องครับ ขออนุโมทนาในความเห็นถูก ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
สิริพรรณ
วันที่ 10 ต.ค. 2556

กราบขอบพระคุณท่านอ.PADERMเป็นอย่างยิ่งคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
คุณตาใจบุญ
วันที่ 10 ต.ค. 2556

การศีกษาพระธรรมทำให้จิตใจสงบ สุขุมรอบคอบ สามารถนำพระธรรมนั้นมาใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันกิเลสคือ โลภ โกรธ หลง เข้ามานอนเนื่องอยู่ในจิตใจได้ เป็นการชำระจิตใจให้ขาวสะอาดถึงแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดี ขออนุโมทนาครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 10 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ประเด็นเรื่องพระโสดาบัน ก่อนอื่นควรที่จะได้เข้าใจว่า พระโสดาบัน คือใคร พระโสดาบัน คือ ผู้ที่ถึงพระนิพพาน เป็นครั้งแรก ซึ่งก็คือ เป็นพระ

อริยบุคคลขั้นที่ ๑ ที่ได้ประจักษ์แจ้งพระนิพพานดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง ดับกิเลสได้เพียงบางส่วนตามสมควรควรแก่มรรคที่ท่านได้ ยังไม่สามารถดับได้ทั้งหมด พระโสดาบันดับความเห็นผิดทุกประการ ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ดับความตระหนี่ ดับความริษยา ดับกิเลสอย่างหยาบที่จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ เพราะพระโสดาบันเป็นผู้ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป ท่านเกิดอีกอย่างมาก ไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นผู้แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงๆ ขึ้นไป กล่าวคือ บรรลุเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี จนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ในที่สุด กว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบัน ตลอดจนถึงพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ นั้น จะขาดการสะสมอบรมเจริญปัญญาไม่ได้ ชวนจิตเป็นกุศลสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกจนกว่าปัญญาจะถึงความสมบูรณ์พร้อมในที่สุด

ต้องเข้าใจอย่างมั่นคงว่า การเป็นพระอริยบุคคล เป็นไปด้วยปัญญา และการบรรลุเป็นพระอริยบุคคลนั้น ต้องเป็นลำดับขั้นด้วย เริ่มตั้งแต่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ เพราะการดับกิเลส จะต้องดับเป็นขั้นๆ ตามลำดับมรรคและจะดับได้อย่างหมดสิ้นเมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์

- เป็นเพราะปัญญาเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ขณะที่ปัญญาและกุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไปนั้น ไม่หนักด้วยความติดข้องต้องการหวังผล เพราะขณะที่หวังผล ติดข้องต้องการนั้น นั่นเป็นอกุศล และก็ผิดทางแล้ว ไม่ใช่หนทางละเลย เพราะฉะนั้น ความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละเล็กทีละน้อย นี้แหละที่จะเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง จนกว่าปัญญาจะถึงความเจริญสมบูรณ์พร้อมในที่สุด ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 10 ต.ค. 2556

พระโสดาบันปิดประตูอบายภูมิสนิทแล้ว เพราะอกุศลที่ท่านละได้แล้ว จะไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ยังไงก็ตามภพภูมิของท่าน ก็มีแต่ไปสูงยิ่งขึ้น ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
papon
วันที่ 10 ต.ค. 2556

ขอขอบคุณอาจารย์ทั้งสองท่านและผู้ถามมากครับ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
สิริพรรณ
วันที่ 10 ต.ค. 2556

กราบขอบพระคุณทุกท่านในความเมตตาชี้แนะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 18 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ