มหากัณหชาดก ว่าด้วยคราวที่สุนัขดำกินคน

 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่  11 ต.ค. 2556
หมายเลข  23834
อ่าน  2,099

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต

อะระหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

เรียน ขอความอนุเคราะห์ ขอความรู้ความเข้าใจ ดังนี้ค่ะ

จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑๖ มหากัณหชาดก ว่าด้วย คราวที่สุนัขดำกินคน มีความหมายถึง ธรรมประการใด หรือไม่คะ สำหรับ “มีเชือกผูกอยู่ห้าแห่งคือ ที่เท้าทั้งสี่ และที่คอ” (อะไรที่ไม่ถูกต้องเรียบร้อย ในสิ่งที่ปรากฏนี้ ช่วยแก้ไขให้ถูกต้องเรียบร้อยด้วยนะคะ)

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาสำหรับคำตอบและกุศลทุกประการของทุกๆ ท่านค่ะ
ด้วยความเคารพจาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 11 ต.ค. 2556

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๖. มหากัณหชาดก ว่าด้วยคราวที่สุนัขดำกินคน

[๑๖๖๑] ดูกร ท่านผู้มีความเพียร สุนัขตัวนี้ ดำจริง ดุร้าย มีเขี้ยวขาว มีความร้อนพุ่งออกจากเขี้ยว ท่าน ผูกไว้ ด้วยเชือก ถึง ๕ เส้น สุนัขของท่าน จะทำอะไร

[๑๖๖๒] ดูกร พระเจ้าอุสินนระ สุนัขนี้ มิได้มา เพื่อต้องการกินเนื้อ แต่มาเพื่อจะกินมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อใด จักมี มนุษย์ทำความพินาศ ให้แก่มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้ ก็จะหลุดไป กิน มนุษย์

[๑๖๖๓] เมื่อใด คนทั้งหลาย ผู้ปฏิญาณตน ว่า เป็น สมณะ มีบาตรในมือ ศีรษะโล้น คลุมผ้าสังฆาฏิ จัก ทำไร่ไถนา เลี้ยงชีพ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้ ก็จะหลุดไป กิน คนเหล่านั้น.

[๑๖๖๔] เมื่อใด จักมี หญิง ผู้ปฏิญาณตน ว่า มีตบะ บวชมีศีรษะโล้น คลุมผ้าสังฆาฏิ เที่ยวบริโภคกามคุณอยู่ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไป กิน หญิงเหล่านั้น

[๑๖๖๕] เมื่อใด ชฎิลทั้งหลาย มีหนวดอันยาว มีฟันเขลอะ มีศีรษะเกลือกกลั้วด้วยธุลี เที่ยวภิกขาจาร รวบรวมทรัพย์ไว้ให้เขากู้ ชื่นชมยินดีด้วยดอกเบี้ยเลี้ยงชีพ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไป กิน ชฎิลเหล่านั้น

[๑๖๖๖] เมื่อใด พราหมณ์ทั้งหลาย เรียนเวท คือ สาวิตติศาสตร์ ยัญญวิธี และ ยัญญสูตรแล้ว รับจ้างบูชายัญ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไป กิน พราหมณ์เหล่านั้น

[๑๖๖๗] เมื่อใด ผู้มีกำลัง สามารถจะ เลี้ยงดู มารดาบิดาได้ แต่ไม่เลี้ยงดู มารดาบิดา ผู้แก่เฒ่าชรา เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไป กิน คนเหล่านั้น

[๑๖๖๘] อนึ่ง เมื่อใด ชนทั้งหลาย จักกล่าวดูหมิ่น มารดาบิดาผู้แก่เฒ่าชราว่า เป็น คนโง่เง่า เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไป กิน คนเหล่านั้น

[๑๖๖๙] อนึ่ง เมื่อใด คนในโลก จักคบหา ภรรยาของอาจารย์ ภรรยาเพื่อน ป้า และน้า เป็น ภรรยา เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไป กิน คนเหล่านั้น

[๑๖๗๐] เมื่อใด พวกพราหมณ์ จักถือโล่ห์และดาบเหน็บกระบี่ คอยดักอยู่ที่ทาง ฆ่าคนชิงเอาทรัพย์ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไป กิน พราหมณ์เหล่านั้น

[๑๖๗๑] เมื่อใด นักเลงหญิงทั้งหลาย ขัดสีผิวกาย บำรุงร่างกายให้อ้วนพี ไม่รู้จักหาทรัพย์ ร่วมสังวาสกับ หญิงหม้าย ที่มีทรัพย์ ครั้นใช้สอยทรัพย์ ของ หญิงหม้ายนั้น หมดแล้ว ก็ทำลายมิตรภาพ ไปหาหญิงอื่นต่อไป เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไป กิน นักเลงหญิงเหล่านั้น

[๑๖๗๒] เมื่อใด คนผู้มีมารยา ปกปิดโทษตน เปิดเผยโทษผู้อื่น คิดให้ทุกข์ผู้อื่น มีอยู่ในโลก เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไป กิน คนเหล่านั้น

จบ มหากัณหชาดกที่ ๖

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ บรรทัดที่ ๖๕๕๑ - ๖๕๘๓ หน้าที่ ๒๙๗ - ๒๙๙

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 11 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สำหรับ คำว่า เครื่องผูก เมื่อได้ศึกษาแล้วก็พอจะเข้าใจว่า ไม่พ้นไปจากเครื่องผูกคือ กามคุณ ๕ (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ) และเครื่องผูกคือ กิเลสทั้งหลาย มีโลภะ เป็นต้น

สำหรับในประเด็นคำถามนั้น ข้อความในอรรถกถาของชาดกนี้ท่านไม่ได้แสดงไว้ว่า เครื่องผูก ๕ แห่ง นั้นเปรียบเหมือนกับอะไร จากเนื้อหาแล้ว ก็คงจะเป็นเครื่องผูกที่ฉุดรั้งเหนี่ยวรั้งไว้เป็นปกติธรรมดา พระโพธิสัตว์ เป็นท้าวสักกะ ทรงบัญชาให้มาตลีเทพบุตรแปลงเป็นสุนัขตัวดุร้าย พร้อมกับผูกด้วยเครื่องผูกดังกล่าว โดยที่พระองค์ทรงแปลงเป็นนายพราน ซึ่งเป็นการหาช่องทางวิธีการที่จะเกื้อกูลมนุษย์ให้ถอยกลับจากอกุศลแล้วตั้งอยู่ในกุศลธรรม

ประโยชน์จริงๆ สาระจริงๆ อยู่ตรงไหนเมื่อได้อ่านชาดกนี้คือ สิ่งที่ควรจะได้พิจารณาเป็นชาดกที่ประทับใจมากทีเดียว เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีอย่างยิ่ง ข้อความโดยสรุปมีว่า คือ พระภิกษุสนทนากันถึงความเป็นผู้มีพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงเกื้อกูลต่อสัตว์โลกทั้งปวง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า ไม่ใช่เฉพาะในช่วงที่เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่มีการอุปการะเกื้อกูลแก่สัตว์โลก แม้ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็เคยประพฤติเกื้อกูลแก่สัตว์โลกมาแล้ว พระองค์จึงทรงยกเรื่องในอดีตมาแสดง สรุปได้ว่า ในกาลสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ในช่วงนั้นพระเจ้าอุสสินนรราช เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี เป็นช่วงที่พระศาสนากำลังเสื่อม ทั้งพระภิกษุ ทั้งคฤหัสถ์ต่างก็เป็นผู้ที่ไม่รักษาศีล กระทำแต่ในสิ่งที่ไม่สมควรมากมายที่เป็นอกุศลกรรมประการต่างๆ

เมื่อประพฤติอย่างนี้ก็เป็นเหตุให้ตนเองไปเกิดในอบายภูมิ ไม่ได้ไปเกิดในสวรรค์ ทำให้เทวโลกว่างเปล่าจากผู้ไปเกิด พระโพธิสัตว์ ทรงเป็นท้าวสักกะ พิจารณาเห็นความเป็นจริงอย่างนั้น ประสงค์จะเกื้อกูลมนุษย์เหล่านั้น จึงหาแนวทางในการที่จะเกื้อกูล ทรงเห็นแนวทางอย่างหนึ่ง จึงบัญชาให้มาตลีเทพบุตร แปลงเป็นสุนัขตัวดุร้าย ส่วนพระองค์แปลงเป็นนายพราน ลงมาจากสวรรค์พร้อมกัน สุนัขตัวนี้ เห่าเสียงดังมาก ผู้คนได้ยินก็เกิดความกลัว พากันไปกราบทูลแด่พระราชา พระราชาสั่งให้ปิดประตูเมือง แม้กระนั้นสุนัขกับพระโพธิสัตว์ก็สามารถเข้าไปในเมืองได้ ผู้คนกลัวเป็นอย่างมาก พระราชา จึงออกมาตรัสถามว่า สุนัขเห่าเพราะต้องการจะกินอาหารใช่ไหม พระองค์รับสั่งให้หาอาหารมาให้ สุนัขก็กินหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว ในที่สุดพระโพธิสัตว์ได้ตรัสกับพระราชาว่า สุนัขตัวนี้ ไม่ต้องการมาเพื่อกินอาหาร ไม่ต้องการมาเพื่อกินสัตว์ แต่ประสงค์จะกินมนุษย์ที่ไม่ใช่มิตรของเรา ซึ่งความหมายของคนไม่ใช่มิตรนั้น ก็คือ คนที่ประพฤติไม่ดี ไม่ตั้งอยู่ในคุณความดี มนุษย์คนใดก็ตามที่ประพฤติไม่ดี ก็จะถูกสุนัขตัวนี้ กิน ซึ่งคนไม่ดีนั้นก็มีลักษณะต่างๆ ตั้งแต่เป็นพระภิกษุไม่รักษาพระธรรมวินัย เที่ยวย่ำยีพระธรรมวินัย ล่วงละเมิดสิกขาบทต่างๆ เป็นคฤหัสถ์ก็ไม่รักษาศีล ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เป็นต้น ตลอดจนถึงไม่เลี้ยงดูมารดาบิดา เป็นต้น

คนเหล่านี้ก็จะถูกสุนัขกิน พอพระโพธิสัตว์ตรัสอย่างนี้แล้ว ก็ทำทีเป็นจะปล่อยสุนัขให้กัดกินชนเหล่านั้น แล้วก็ฉุดรั้งไว้ ในที่สุดท้ังสุนัขและพระโพธิสัตว์ ก็แสดงตัวเองเปิดเผยความจริง ลอยอยู่บนอากาศ พระโพธิสัตว์ทรงแสดงธรรมแก่พระราชา และชาวเมืองเพื่อให้ตั้งอยู่ในคุณความดี หลีกออกจากความพระพฤติที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งเป็นการยังมนุษย์ทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในธรรมฝ่ายดี พร้อมกับทำพระศาสนาที่กำลังเสื่อมให้สามารถเป็นไปได้อีกพันปี แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับไปยังเทวโลกพร้อมกับมาตลีเทพบุตร ตามเดิม นี้คือ ความประพฤติเป็นไปในการเกื้อกูลแก่สัตว์โลกของพระองค์ตั้งแต่ในสมัยที่ยังไม่ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาตลีเทพบุตร เป็นพระอานนท์ ส่วน ท้าวสักกะก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 12 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เครื่องผูกในที่นี้ ไม่ได้เป็นการอุปมาอะไรทั้งสิ้น ครับ แต่แสดงถึง เครื่องผูกที่มั่นคง ที่ผูกสัตว์ไว้ที่เป็นสัตว์ที่ดุร้าย ผูกไว้ ๕ ที่ คือ ที่คอ มือ ๒ ข้าง และ ขา ๒ ข้าง ครับ แต่ เครื่องผูก โดยนัยในสูตรอื่น แสดงถึง กิเลส ที่เป็นโลภะ แต่เป็นสูตรอื่น ซึ่งแสดงดังนี้ ว่าโลภะ ความติดข้องว่าเป็นเครื่องผูกอย่างไร ในความเป็นจริง เครื่องผูกที่เป็นเชือก โซ่ตรวน ไม่ใช่เครื่องผูกที่แท้จริง เพราะ ก็สามารถแก้เครื่องผูกนี้ได้ และได้ผูกตลอดไปทุกๆ ชาติ แต่กิเลสคือ โลภะ ความติดข้อง เป็นเครื่องผูกที่เบา ย่อหย่อน เพราะไม่รู้เลยว่าถูกผูกอยู่ และไม่บาดผิวหนัง ทำให้บาดเจ็บ โลภะ เป็นเครื่องผูกที่ทำให้ตกต่ำ และน่ากลัวเพราะเครื่องผูก คือ โซ่ตรวน เชือกไม่เป็นเหตุให้ตกนรก ไปอบาย

แต่เครื่องผูกคือ กิเลส ความติดข้อง เป็นเหตุให้ทำบาป เพราะติดข้อง จึงทำบาป เมื่อทำบาปก็ต้องไปนรก ไปอบายไปสู่ที่ต่ำ ทำให้ตกไปในภูมิที่น่ากลัว กิเลส โลภะ เป็นเครื่องผูกที่แก้ได้ยากยิ่ง เพราะเมื่อไม่รู้ก็ไม่สามารถแก้เครื่องผูกได้ ดังนั้น ธรรมที่จะแก้เครื่องผูกได้ จึงจะต้องด้วยศาสตราคือ ปัญญาที่เป็นปัญญาระดับสูง ที่เป็นโลกุตตรปัญญาจึงจะแก้ เครื่องผูก คือ กิเลสได้ ครับ หนทางการละกิเลสที่ถูกต้อง คือ การไม่ใช่ไปละ เครื่องผูก คือ โลภะ ความติดข้องในรูป เสียง เป็นต้น ก่อน แต่ต้องรู้จักโลภะ สภาพธรรมที่ติดข้อง ว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เราละกิเลส ที่ยึดถือ ด้วยความเห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล เป็นสำคัญ ซึ่งการฟังพระธรรมที่ถูกต้อง ปัญญาที่ค่อยๆ เจริญในหนทางที่ถูกต้อง จะค่อยๆ ละกิเลสไปทีละน้อย จนละเครื่องผูก คือ กิเลสได้จนหมดสิ้น ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
guy
วันที่ 13 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 27 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ