ทำไมหลายคนมักบอกว่าการคิดมากเป็นสิ่งไม่ดี

 
Nacha
วันที่  13 ต.ค. 2556
หมายเลข  23845
อ่าน  982

พอดีวันนี้อ่านเพจธรรมะใน Facebook และหลายๆ ครั้ง ก็อ่านจากหนังสือธรรมะ จะพบคำสอนที่ว่า การคิดนั้นเป็นอุปสรรคต่อความสุข คิดมากนั้นไม่ดี ทำให้ไม่มีความสุข และการคิดมากทำให้สติไม่เกิด ดิฉันเองก็เชื่อตามนั้นนะคะ แต่ว่าเอะใจตรงที่ ความคิดมี 2 แง่ ความคิดแง่ที่เป็นกุศลวิตก ก็ไม่ควรคิดมากหรือคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 13 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ท่านอาจารย์ สุจินต์ เคยกล่าวไว้ว่า ทุกคนคิดมากเหมือนกันหมด จะพูดหรือไม่พูดก็ตาม แต่ความคิดนั้น ก็มีความคิดที่เป็นกุศลก็มี ไม่เป็นกุศล คือ คิดเป็นไปในอกุศลก็มี ในความเป็นจริง ความคิดก็คือ สภาพธรรมที่มีจริงคือ จิต และมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ดังนั้น ทุกคนคิดมาก แม้ขณะนี้เพียงเห็นเป็นสัตว์ บุคคล ยังไม่ได้ชอบ หรือไม่ชอบเลย ยังไม่เป็นกุศล หรืออกุศลเลย เพียงแค่เห็น เป็นสัตว์ บุคคล ในทางธรรมก็ถือว่า คิดแล้ว คิดเป็นไปในรูปร่างสัณฐาน เรื่องราวต่างๆ ที่มีบัญญัติเรื่องราวเป็นอารมณ์ นี่แสดงถึงความละเอียดของคำว่า ความคิดตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ที่เป็นพระอภิธรรม เป็นความจริงอย่างละอียด ดังนั้น จึงไม่มีใครที่ไม่คิดมาก คิดมากตลอดเวลา ทั้งพระอริยะ และปุถุชน เพราะฉะนั้นอะไรกันแน่ที่เป็นอุปสรรค ที่ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข พระอรหันต์ดับกิเลสแล้ว ก็มีความคิดเยอะมาก เพราะมีการคิดนึกทางใจ แต่จิตที่คิดนึกของท่าน ไม่มีกิเลสจึงไม่ทุกข์ใจใดๆ เลย แม้จะได้รับกระทบสิ่งที่ดี หรือไม่ดีอย่างไรก็ตาม เพราะฉะนั้น ความคิดไม่ใช่อุปสรรคที่ทำให้ชีวิตมีความสุข หรือไม่มีความสุข แต่เป็นกิเลสอกุศลที่เป็นอุปสรรค ที่จะทำให้ชีวิตไม่มีความสุข เพราะอาศัยกิเลส ทำให้เกิดความทุกข์ใจ เพราะกิเลสเกิดร่วมด้วย กับความคิดในขณะนั้น ครับ พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดง วิตก ความคิดนึก เป็นสองส่วน คือ สัมมาสังกัปปะ และมิจฉาสังกัปปะคือ ความคิดที่ถูกต้อง เป็นไปในฝ่ายดี มีการคิดที่เป็นความไม่ติดข้อง ไม่เบียดเบียน ไม่พยาบาท เป็นต้น และความคิดที่ไม่ดีคือ ความคิดที่เกิดกับกิเลส เกิดกับอกุศลจิต ที่เป็นความคิดที่เป็นไปในความติดข้อง พยาบาท เบียดเบียน เป็นต้น ครับ ความคิดที่ดีก็มี ความคิดดี ที่เป็นกุศลจิต กุศลธรรม ย่อมนำมาซึ่งความสุขกาย สุขใจ ดังนั้น ความคิดที่ดีควรมีมากไหม ควรมีมาก ยิ่งมากก็ยิ่งนำประโยชน์มาให้ ความคิดมาก ที่เป็นไปในทางที่ดี จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อชีวิตเลย เพราะนำมาซึ่งความสุข หากแต่ว่า ความคิดที่ไม่ดีที่เป็น มิจฉาสังกัปปะ เป็นความคิดที่ทำให้เกิดความทุกข์ นำมาซึ่งความทุกข์ ดังนั้น หากคิดมากในทางอกุศล ก็ยิ่งนำมาซึ่งความทุกข์ ดังนั้น จึงควรแยกระหว่างความคิดที่ดี และความคิดที่ไม่ดี ไม่ใช่ความคิดมากจะนำมาซึ่งความไม่สุขเสมอไป ครับ เพราะฉะนั้น การได้รับความไม่สบายใจ ไม่มีความสุข จึงอาศัยกิเลสเป็นสำคัญ หนทางที่จะได้รับความสุข คือ การเจริญขึ้นของปัญญา สัมมาทิฏฐิ เมื่อมีปัญญา ความเห็นถูก การคิดก็ถูก ก็นำมาซึ่งความสุขในความคิดที่ถูก และค่อยๆ ละกิเลส ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งก็จะต้องเริ่มจาการฟังศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นสำคัญ ครับ

ในชีวิตประจำวัน สุขที่เกิดจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าปรารถนา น่าพอใจนั้น เป็นสุขที่ไม่สะอาด เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว ได้มาแล้วก็หมดไป ไม่ยั่งยืน มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา บุคคลไม่สามารถนำเอาทุกอย่างเหล่านี้ไปในภพหน้าได้เลย ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็จากอยู่ทุกขณะ เพราะสภาพธรรมเกิดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย แต่สุขที่สะอาด อันเกิดจากกุศลประการต่างๆ นั้น มีน้อย และเกิดยากมาก ด้วยเหตุนี้ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ก็เพื่อให้รู้จักความจริง เพื่อที่จะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ความสุข ในทุกๆ วันนั้น เป็นความสุขที่สะอาดหรือไม่สะอาด แล้วจะมีความสุขที่สะอาดด้วยปัญญาอย่างไร นั่นก็คือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ซึ่งเป็นการอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับนั่นเอง จนกว่าจะสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นในที่สุด ครับ

ความสุขที่แท้จริง คือ ความสุข ที่ไม่มีกิเลส ไม่มีการเกิดขึ้นของขันธ์ อันนำมาซึ่งทุกข์ทั้งปวง ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 13 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คิด เป็นสภาพธรรมที่มีจริง กล่าวคือ เป็นนามธรรม (จิตกับเจตสิก) ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่ใช่เราที่คิด แต่เวลาพูดเวลาสนทนากันเพื่อสื่อให้เข้าใจตรงกัน ก็พูดได้ว่า เราคิด บุคคลนั้นคิด บุคคลนี้คิด เป็นต้น ที่สำคัญคือความเข้าใจที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นแต่เพียงธรรมเท่านั้น ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวัน เป็นจิตแต่ละขณะเกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย สำหรับปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยด้วยกิเลส ยังเต็มไปด้วยกิเลสทุกๆ ประการ เพราะละกิเลสอะไรๆ ยังไม่ได้ การคิดด้วยอำนาจของกุศล จึงมีมากกว่า ขณะที่จิตเป็นกุศลเกิดน้อยมาก ดังนั้น ถ้าคิดดี ก็เป็นความดีเป็นประโยชน์ ไม่เคยนำความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้ใครเลย ในทางตรงกันข้าม ถ้าคิดไม่ดีแล้ว อย่างไรก็ต้องไม่ดี เพราะเป็นอกุศล จะดีได้อย่างไร อกุศลเกิด จะน้อยจะมาก ก็มีโทษโดยส่วนเดียว การศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม จึงเป็นกระจกที่ส่องให้เรารู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า มีกิเลสมาก แล้วพร้อมที่จะขัดเกลากิเลสของตนเองให้ยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยการเจริญกุศลทุกๆ ประการ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท มีความประพฤติที่ดีงามทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจต่อไป คิดก็คิดดี พูดก็พูดดี ทำก็ทำดี คล้อยตามความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 13 ต.ค. 2556

คิดมาก ขี้น้อยใจ ทำให้ไม่มีความสุขแน่นอน เพราะเป็นทุกข์ที่เกิดจากความคิด ทำให้ฟุ้งซ่าน เป็นอกุศล ถ้าคิดในทางกุศล พิจารณาธรรม คิดในเรื่องของธรรม ก็ทำให้จิตผ่องใส ไม่ทุกข์ มีความสุข ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
papon
วันที่ 13 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Nacha
วันที่ 14 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
j.jim
วันที่ 14 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เข้าใจ
วันที่ 14 ต.ค. 2556

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
talaykwang
วันที่ 20 มิ.ย. 2563

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ