ทุกข์ที่เกิดในชาติหน้า...เราหรือใครเป็นผู้รับ ?

 
nippana
วันที่  18 ต.ค. 2556
หมายเลข  23873
อ่าน  898

กรุณาให้ความกระจ่างด้วยครับ

หมดความเป็นบุคคลคนนี้ในชาตินี้แล้ว เราก็ควรหมดทุกข์จากการครอบครองขันธ์นี้แล้ว มิใช่หรือครับ เหตุใดต้องสอนให้กลัวทุกข์ ที่เกิดในชาติต่อไป เพราะจิตนี้กลายเป็นของบุคคลอื่นไปแล้ว


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 19 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ส่วนใหญ่เพราะ ยึดถือว่ามีบุคคลอื่น มีสัตว์ บุคคลที่สืบต่อกันไป แท้ที่จริง ก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่เป็นขันธ์ คือ จิต เจตสิก รูป เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่ เป็นจิตของบุคคลอื่นเลย แต่ก็เป็นจิตที่เคยมีของชาตินี้และดับไป สืบต่อไป สะสมทั้งกรรม และจะทำให้เกิดวิบากในอนาคต อันเป็นการสืบต่อของ จิตของชาตินี้ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังมีกิเลส มีกรรม มีอกุศลกรรมที่ได้ทำมา แม้จะเปลี่ยนภพภูมิ สมมติว่าเป็นคนอื่น แท้ที่จริงก็เป็นการสืบต่อของจิต เจตสิก และ ก็จะทำให้เกิดวิบาก มีการเห็นไม่ดี กระทบสิ่งที่ไม่ดี มีร้อนมากๆ เช่น จากชาตินี้ไปเกิดในภพภูมินรก ก็ต้องได้รับวิบาก แม้จะเปลี่ยนภพภูมิ แต่ก็อาศัยการสืบต่อของขันธ์ ครับ เปรียบเหมือนว่า ตอนเราในวัยเด็ก ถามว่า ตอนนี้เราอายุ สี่สิบแล้ว และ จิตตอนวัยเด็ก กับตอนนี้ ใช่วัยเดียวกันไหม คำตอบ คือ ไม่ใช่ เพราะ จิตเกิดและดับไปตลอด แต่สืบต่อกันไป และ รูปก็เกิดดับใหม่ตลอด และ ถ้าถามว่า เป็นคนละคนกันเลยใช่ไหม เพราะ ในเมือ่ เป็นจิตที่เกิดดับ ใหม่ตอลด รวมทั้งรูปด้วย ไม่ใช่จิตเดียวกันแล้ว คำตอบ ก็ไม่ใช่อีก เพราะ ก็เป็นการเนื่องกันของๆ คนเดียวกันนั่นแหละ แต่อาศัยการสืบต่อกันไป ครับ เช่นเดียวกับ เปลวเทียน ในยามหัวค่ำที่อาศัยต้นเทียนเล่มนั้น กับเปลวเทียนตอนเช้าตรู่ที่ยังไม่ได้ดับ เปลวเทียนเดียวกันไหม คำตอบ คือ ไม่ใช่ เพราะเปลวเทียน คนละช่วงเวลา แต่ ถามว่า มาจากต้นเทียนเล่มเดียวกันหรือเปล่า ก็ต้องใช่ เพราะ เนื่องกัน ครับ ดังนั้น ในวัยหนุ่มสาว กับ เมื่อแก่แล้วก็เป็นจิตคนละดวง เพราะเกิดดับใหม่ตลอดหากแต่ว่า แม้จะเป็นจิตคนละดวง ก็เป็นการเนื่องกัน ไม่ใช่ จะเป็นคนละคนกันเสียทัังหมดฉันใด แม้จะเปลี่ยนภพภูมิ ก็ต้องเข้าใจว่า เพียง จุติจิต และ ปฏิสนธจิตเกิดก็เป็นเพียง จิตเพียงขณะเดียว ซึ่งก็สืบต่อกรรม การสะสมต่างๆ ไปด้วย รวมทั้งก็เป็นการเนื่องกันของ จิตที่เกิดดับ ไม่ได้เป็นบุคคลใหม่ เพราะ แท้ที่จริงก็เป็นการสมมติให้เข้าใจว่าเกิดในภพภูมิใดเท่านั้น เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีการรับกรรม และผลของกรรม ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด และ จะต้องได้รับทุกข์มากมายต่อไปในการเกิดไม่รู้จบ จึงควรเห็นภัย เห็นโทษของการเกิดของขันธ์ ด้วยปัญญา ซึ่งจะเริ่มมีได้ด้วยการฟังธรรม ศึกษาพระธรรม ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nippana
วันที่ 19 ต.ค. 2556

ตาสว่างจังเลยครับ...กราบขอบพระคุณอาจารย์ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 19 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเป็นจริงของสภาพธรรมไม่เคยเปลี่ยน เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน มีแต่สภาพธรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่อยู่ตลอด เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ และจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ เพราะที่จะไม่มีการเกิดขึ้นของธรรมอีกเลย คือ พระอรหันต์ที่ดับขันธปรินิพพานแล้ว ตราบใดที่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องเกิดอีกในภพภูมิต่างๆ อย่างแน่นอน ยังไม่พ้นจากสังสารวัฏฏ์ไปได้ แม้บุคคลที่ได้บรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลแล้ว ท่านก็ยังต้องเกิดอีก แต่เกิดไม่เกิน ๗ ชาติและเกิดเฉพาะในสุคติภูมิเท่านั้น เพราะเหตุว่าพระอริยบุคคลจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ แต่ปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยกิเลส มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น กิเลสเหล่านี้ยังดับไม่ได้และยังไม่ได้เบาบางลงไปเลย ถึงอย่างไรก็ต้องได้เกิดอีก ยังต้องเดินทางต่อไปในสังสารวัฏฏ์ทั้งในสุคติภูมิและอบายภูมิอีกอย่างนับชาติไม่ถ้วน กล่าวได้ว่า ยังไม่พ้นไปจากการทำกรรมและยังไม่พ้นไปจากการได้รับผลของกรรม แต่ละคน ก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกัน แต่เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็คือ มีแต่ธรรมเท่านั้น ไม่มีสัตว์บุคคล ตัวตน จะเห็นได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงอดีตชาติของพระองค์ ซึ่งก็คือความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม ที่เกิดดับสืบต่อกันของพระองค์ซึ่งก็ไม่ใช่คนอื่น แต่ถ้าเป็นการแสดงถึงอดีตชาติของพระสาวกท่านอื่นๆ ก็เป็นชีวิตของผู้นั้น ไม่ใช่ชีวิตของพระองค์ นี้ก็เป็นเพียงตัวอย่างที่กล่าวถึงความเกิดดับสืบต่อกันของธรรมที่สมมติรู้กันว่าเป็นนั้นคนนี้ แม้แต่ตัวเราเองก็เป็นเช่นนั้น คือ มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป ควรที่จะได้พิจารณาว่า เกิดมาแล้ว นับชาติไม่ถ้วน และ ในขณะนี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นเรื่องที่ยากจริงๆ ชาตินี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ชาติหน้าอาจจะไปเกิดในอบายภูมิก็ได้ เป็นไปได้ทั้งนั้น ซึ่งจะประมาทในชีวิตไม่ได้เลย เพราะถ้าหากอาศัยความประมาทเพียงนิดเดียวอาจจะนำพาเราไปสู่อบายภูมิ ซึ่งเป็นภูมิที่ปราศจากความเจริญในกุศลธรรม หมดโอกาสที่จะได้เจริญกุศลยิ่งขึ้น ก็เป็นได้ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ควรอย่างยิ่งที่จะได้เจริญกุศลประการต่างๆ พร้อมทั้งฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ด้วย ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายแน่ อาจจะเป็นเดี๋ยวนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ หรือ วันไหนๆ ก็ได้ ที่ดีที่สุดก่อนที่วันนั้นจะมาถึง คือ ทำดีและศึกษาพระธรรม ถ้าละเลยในสิ่งเหล่านี้ เป็นผู้ประมาทมัวเมาประกอบแต่อกุศลกรรม เมื่ออกุศลกรรมให้ผล ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิแล้ว เมื่อนั้น ก็ไม่สามารถจะโทษใครได้เลย เพราะตนเองเป็นผู้กระทำกรรมไม่ดีเอง ผลที่ไม่ดีก็ย่อมเกิดกับตนเองเท่านั้นครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 19 ต.ค. 2556

เพราะมีจิต เจตสิก ขันธ์ 5 จึงสามารถรับผลของกรรมได้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 19 ต.ค. 2556

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nippana
วันที่ 19 ต.ค. 2556

กราบขอบพระคุณอาจารย์ทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Suth.
วันที่ 21 ต.ค. 2556

ขอเรียนถามเพิ่มเติมในประเด็นการเกิดอีกในภพภูมิต่างๆ ว่าควรทำความเข้าใจอย่างไร ไม่ให้กลายเป็นสัสสตทิฏฐิ ที่เห็นว่าเที่ยงหรือเห็นว่าเวียนว่ายตายเกิด ตามหลักสัสสตทิฏฐิ 4 มีประเด็นที่แยกให้เห็นชัดเจนอย่างไร กรุณาให้ความกระจ่างด้วย ครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
สิริพรรณ
วันที่ 21 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ