กระบวนการคิดทางหลักธรรม

 
sikkha
วันที่  25 ต.ค. 2556
หมายเลข  23910
อ่าน  1,171

เมื่อรับรู้ไม่ว่าทางทวารใด แล้วก็คิดนึกถึงอารมณ์นั้น อยากทราบว่าขณะที่กำลังคิดนึกนั้น โดยทางหลักธรรม เรื่องจิตคิดนึกมีกระบวนการอย่างไร และสามารถฝึกฝนการไม่คิดนึกได้หรือไม่

1. จิตและเจตสิกธรรมดวงใดบ้าง ที่ทำหน้าที่คิดนึกอย่างเป็นกระบวนการ

2. จิตที่ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพียงแต่ระลึกรู้ในอารมณ์เท่านั้นยังไม่ทันคิดนึก อยากทราบว่า แรกๆ ของการระลึกรู้ สำหรับผู้ที่เริ่มเข้าใจ มีอาการให้สังเกตได้อย่างไร บ้าง

3. มีการฝึกฝนเพื่อห้ามหรือสะกัดกั้นการคิดนึกได้หรือไม่ เพื่อให้สติเพียงระลึกรู้สภาพธรรม โดยไม่ให้เลยไปถึงการคิดนึก


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 25 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1. จิตและเจตสิกธรรมดวงใดบ้างที่ทำหน้าที่คิดนึกอย่างเป็นกระบวนการความคิดนึก เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นนามธรรม คือ เป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ หมายถึงว่า เมื่อความคิดเกิดขึ้น จะต้องรู้อะไรบางอย่าง นั่นคือขณะที่มีความคิดนึกเกิดขึ้น จะต้องมีสิ่งที่ถูกคิด สิ่งที่ถูกคิด เรียกว่า อารมณ์ เพราะฉะนั้น ความคิดนึก จึงเป็นนามธรม เป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ ซึ่ง ความคิดนึก ก็ไม่พ้นจากนามธรรม คือ จิต เจตสิก อาศัยจิตที่เป็นใหญ่ในการรู้ ก็ทำให้มีการคิดนึก เพราะ อาศัยจิต และ อีกนัยหนึ่ง วิตกเจตสิกก็ทำหน้าที่ ตรึกนึกคิดได้ ครับ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ครับว่า วิตกเจตสิก ที่เป็นสภาพธรรมที่ตรึก นึกคิด และอาศัยจิตด้วยนั้น ท่านเปรียบเหมือนเท้าของโลก คือ ก้าวไปทุกที่ ทุกเวลาได้ คิดเรื่องต่างๆ อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น จิตและเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว และจิต เมื่อเกิดขึ้น ก็ย่อมคิดนึก ไปในเรื่องราวต่างๆ ตามความทรงจำไว้ ที่เคยจำไว้ จำไว้ในเรื่องอะไร ก็คิดไปในเรื่องนั้น เพียงแต่ว่า จะคิดด้วยกุศล หรืออกุศล ซึ่ง เพราะ อาศัยกิเลสเป็นปัจจัย ก็ทำให้คิดไปในเรื่องราวต่างๆ ที่อยู่รอบตัว และ คิดเรื่องตนเองก็ได้ แต่คิดด้วยจิตที่เป็นอกุศล ด้วยความฟุ้งซ่าน เพราะอาศัยเหตุ คือ กิเลสเป็นสำคัญ ครับ ซึ่งกระบวนการ การเกิดการคิดนึก ก็อาศัยการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก ทางมโนทวารวิถี ที่นึกคิดเป็นไปในเรื่อราวต่างๆ ตามความทรงจำ สัญญาที่จำไว้ โดยมี วิตกเจตสิก ทำหน้าที่ตรึก นึกถึง ครับ

2. จิตที่ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพียงแต่ระลึกรู้ในอารมณ์เท่านั้น ยังไม่ทันคิดนึก อยากทราบว่า แรกๆ ของการระลึกรู้ สำหรับผู้ที่เริ่มเข้าใจ มีอาการให้สังเกตได้อย่างไรบ้าง

ธรรมที่ทำหน้าที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม คือ สติ และ ปัญญาทำหน้าที่รู้ตามความเป็นจริง ซึ่ง จิตเป็นเพียงสภาพธรรมที่รู้อารมณ์เท่านั้น ดังนั้น การจะเกิดสติที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ต้องเป็นปัญญาระดับสติปัฏฐาน ซึ่ง ปัญญาเริ่มแรก และ สติเริ่มแรก ในขณะที่สติปัฏฐานเพิ่งเริ่มเกิด ขณะนั้น จะเป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรม ว่าเป็นแต่เพียงธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่ง มีเพียงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎเท่านั้น แต่ยังไม่รู้ละเอียดลึกลงไปว่าเป็นสภาพธรรมอะไร ครับ เพราะเป็นเพียงปัญญาและสติเบื้องต้น อย่างไรก็ดี กว่าจะถึงตรงนั้น ซึ่งยากและไกล ก็ต้องอบรมปัญญาขั้นการฟังให้เข้าใจถูกต้องต่อไป ครับ

3. มีการฝึกฝนเพื่อห้ามหรือสะกัดกั้นการคิดนึกได้หรือไม่ เพื่อให้สติเพียงระลึกรู้สภาพธรรม โดยไม่ให้เลยไปถึงการคิดนึก

ไม่มีใครห้ามได้ ครับ เมื่อมีเหตุปัจจัยก็คิดนึก เป็นธรรมดา แม้แต่พระอรหันต์ ท่านก็คิดนึก ไม่ได้เกิดสติตลอดเวลา ซึ่งเป็นธรรมดาของสภาพธรรม และวิถีจิตที่จะต้องเป็นอย่างนั้น แม้ปุถุชน ผู้อบรมปัญญา แม้เกิดปัญญา และ ดับไป คิดนึก ก็เกิดต่อได้ และแม้อกุศลก็เกิดต่อได้เป็นธรรมดา แสดงถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม หนทางที่ถูก จึงไม่ใช่หนทางที่จะทำ แต่เป็นหนทางที่เข้าใจด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรมต่อไป ธรรมจะทำหน้าที่เอง ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 25 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความคิดนึกเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ได้แก่ จิต และเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย ที่เป็นไปทางใจ เพราะตามปกติแล้ว จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทาง ๕ ทวาร ทวารหนึ่งทวารใด แล้วต่อด้วยวิถีจิตทางใจ โดยมีภวังคจิตคั่น นี้คือความเป็นจริงของธรรม หรือแม้ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่ได้ถูกต้องกระทบสัมผัส ก็คิดนึกได้ คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเห็น เคยได้ยิน เป็นต้น สภาพธรรมที่คิด มีจริง เรื่องที่คิดไม่มีจริง ไม่มีใครที่จะไปบังคับบัญชา ไม่ให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดขึ้นเป็นไปได้เลย เพราะธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัย ประโยชน์ที่ควรพิจารณา คือ เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ก็ตาม ที่สำคัญต้องมีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปเรื่อยๆ ไม่ขาดการฟังพระธรรม

การระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เป็นเรื่องของความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น จากการที่ได้ฟังเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็เกื้อกูลให้สติปัญญาเกิดขึ้น เข้าถึงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นเป็นไปได้โดยง่ายๆ เพราะสะสมความไม่รู้มานาน จึงต้องสะสมสิ่งที่จะขัดเกลาความไม่รู้ เป็นอย่างมากและยาวนานเช่นเดียวกัน ซึ่งก็คือสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก เรื่องการระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ (สติปัฏฐาน) ไม่ใช่เรื่องหวัง เรื่องต้องการ แต่ต้องเริ่มที่ความเข้าใจถูก เห็นถูก ในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ทุกขณะไม่เคยขาดสภาพธรรมเลย มีธรรมเกิดเป็นไปอยู่ตลอด ทั้งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม นามธรรมก็ได้แก่ จิต และเจตสิก เกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย ส่วนรูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร เช่น สี เสียง กลิ่น รส เป็นต้น สภาพธรรมเหล่านี้ จะเป็นที่ตั้งให้สติปัญญาเกิดขึ้น ระลึกรู้ตามความเป็นจริงได้

ไม่มีใครที่จะไปสะกัดกั้นความคิดนึกได้ เพราะธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ถ้าบังคับได้ ทุกคนก็จะคิดแต่สิ่งที่ดีๆ ไม่คิดเบียดเบียนประทุษร้ายผู้อื่น ไม่คิดที่จะว่าร้ายผู้อื่นเป็นต้น แต่ทำไมบางคนก็คิดดี บางคนก็คิดไม่ดี ก็เพราะสะสมมาต่างกัน ธรรมเมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ในเมื่อธรรมมีอยู่ตลอด ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน ก็ควรที่จะได้ประโยชน์ จากการที่มีธรรมอยู่ตลอด นั่นก็คือความเข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริง ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา นี้แหละคือสิ่งที่สำคัญ ไม่ใช่เป็นการไปหาวิธีที่จะไม่คิด แต่เป็นการเข้าใจความจริง และอีกประการหนึ่ง ความเข้าใจพระธรรม ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนจากที่เคยคิดไม่ดี เป็นคิดดีขึ้น คล้อยตามความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 25 ต.ค. 2556

คิดนึกด้วยวิตกเจตสิก แต่ก็มีจิตด้วย ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 25 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
sikkha
วันที่ 25 ต.ค. 2556

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาต่อท่านผู้ตอบทุกท่าน

ขออนุโมทนาท่านที่เข้ามาอ่านเพื่อความเข้าใจ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
papon
วันที่ 30 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ