ปทปรมบุคคล
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลผู้ที่ได้สะสมอบรมเจริญเหตุที่ดีมา นั่นก็คือ ได้สะสมการฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มา จึงมีโอกาสได้ฟังพระธรรม และมีความเข้าใจไปตามลำดับ โดยกล่าวถึงบุคคล ๔ จำพวก คือ
๑. อุคฆฏิตัญญูบุคคล (บุคคลผู้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม โดยฟังเพียงการยกหัวข้อธรรมขึ้นแสดงเท่านั้น)
๒. วิปัญจิตัญญูบุคคล (บุคคลผู้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม โดยต้องอาศัยการขยายความแห่งหัวข้อธรรมโดยละเอียด)
๓. เนยยบุคคล (บุคคลผู้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมโดยอาศัยการฟัง การศึกษาบ่อยๆ เนืองๆ ทั้งโดยหัวข้อและโดยการขยายความให้ละเอียดจากกัลยาณมิตรผู้มีปัญญา มีการสอบถาม มีการไตร่ตรอง พิจารณาโดยแยบคาย)
๔. ปทปรมบุคคล (บุคคลผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมในชาตินั้นได้ แม้ว่าจะได้ฟังมาก ศึกษามาก สอนผู้อื่นมาก เป็นต้น) ซึ่งการอุปมา บัวสี่เหล่า เป็นตอนที่ สหัมบดีพรหม ทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เมื่อพระพรหมอาราธนา พระพุทธเจ้าก็ทรงตรวจดูสัตว์โลก ซึ่ง ก็เห็น หมู่สัตว์ที่สามารถบรรลุธรรมได้ในชาตินั้น ซึ่ง เป็นบัว 3 เหล่า บางเหล่าตั้งขึ้น พ้นน้ำ น้ำไม่ติด ฉันใด ในอรรถกถา อธิบายว่า คือ อุคฆฏิตัญญูบุคคล คือเพียงฟังห้วข้อของพระธรรมเท่านั้น ก็บรรลุธรรม บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ คือ วิปัญจิตัญญูบุคคล คือ เมื่อได้ฟังหัวข้อแล้วอธิบายโดยละเอียด ก็สามารถบรรลุธรรม บางเหล่ายังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้ คือ เนยยะบุคคล คือ สามารถบรรลุธรรมในชาตินั้นได้ แต่ต้องอาศัยการฟัง การศึกษามาก จึงจะบรรลุธรรมได้ ครับ
ซึ่ง ที่ถามว่า เป็นดอกบัว 4 เหล่า หรือ 3 เหล่า ในพระบาลี แสดง 3 เหล่า มุ่งหมายถึงผู้ที่บรรลุธรรมได้ แต่ในอรรถกถาอธิบายเพิ่มเติมว่า มีอีกเหล่า เป็น 4 เหล่า คือ ปทปรมบุคคลเป็นการแสดงถึง บุคคลที่สามารถบรรลุได้ในชาตินั้น ไมได้รวมถึง บุคคลที่ไม่สามารถบรรลุชาตินั้น แต่บรรลุในชาติถัดๆ ไป ข้อความอรรถกถาอธิบายว่า แม้ไม่ได้ยก บุคคลที่ 4 ที่เป็น ปทปรมบุคคล ที่ไม่บรรลุธรรมในชาตินี้ แต่บรรลุธรรมในชาติต่อๆ ไป ก็หมายรวมบุคคลเหล่านี้ด้วย เพียงแต่ไม่ยกขึ้นไว้ในพระไตรปิฎก เพราะ ความจริง บุคคล แบ่ง เป็น บัว 4 เหล่า
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๔๘
อรรถกถามหาปทานสูตร
อธิบายว่า บัวบางเหล่าที่ตั้งขึ้นพ้นน้ำคอยรอสัมผัสแสงอาทิตย์แล้วบานในวันนี้ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำจักบานในวันพรุ่งนี้ บางเหล่ายังจมอยู่ภายในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้จักบานในวันที่ ๓ แต่ว่ายังมีดอกบัวเป็นต้นที่มีโรคแม้เหล่าอื่นไม่ขึ้นพ้นจากน้ำแล้ว ดอกบัวเหล่าใด จักไม่บาน จักเป็นภักษาแห่งปลาและเต่าอย่างเดียว ดอกบัวเหล่านั้น ท่านไม่ควรนำขึ้นสู่บาลี ได้แสดงไว้ชัดแล้ว
ส่วนเหล่าที่ 4 เป็นดอกบัวที่จะไม่บาน จะเป็นอาหารของปลาและเต่า ซึ่งเป็นบุคคลที่เรียกว่า ปทปรมบุคคล (บุคคลผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมในชาตินั้นได้ แม้ว่าจะได้ฟังมาก ศึกษามาก สอนผู้อื่นมาก เป็นต้น)
ข้อที่ควรพิจารณาคือ บุคคลประเภทที่ ๔ คือ ปทปรมบุคคลนั้น พระธรรมก็เกื้อกูลบุคคลประเภทนี้ได้เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้บรรลุในชาตินั้นก็ตามกล่าวคือ ทำให้บุคคลประเภทนี้สะสมอุปนิสัยที่ดีซึ่งจะเป็นปัจจัยแห่งการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมในอนาคตข้างหน้าได้ โดยปทปรมบุคคลนี้ จะต้องเป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟังพระธรรม (จึงได้ชื่อว่า ผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง) ผู้ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมเลย รวมถึงบุคคลผู้ที่มีความเห็นผิดที่ดิ่ง ย่อมไม่ชื่อว่าเป็นปทปรมบุคคล เพราะไม่มีโอกาสที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เลย
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ บุคคล ๔ จำพวก มีอุคฆฏิตัญญูบุคคล เป็นต้น [ปุคคลบัญญัติ]
ดอกบัว ๔ เหล่า [อรรถกถามหาปทานสูตร]
ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่ยังไม่บรรลุธรรมในชาตินี้ แม้จะเกิดปัญญา เกิดสติปัฏฐาน รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ แต่ไม่ใช่พระโสดาบัน คือ ไม่บรรลุธรรม ไม่เป็นดอกบัวบานในชาตินี้ ชื่อว่า เป็นดอกบัวเหล่าที่สี่ทั้งหมด ไม่ต้องกล่าวถึง ผู้ที่ศึกษาธรรม แต่สติปัฏฐานไม่เกิด เพราะ ผุ้ที่เกิดปัญญา ความเข้าใจถุกในขั้นสติปัฏฐาน แต่ไม่บรรลุธรรมก็ยังเป็นดอกบัวเหล่าที่ ๔ ครับ แต่ก็เป็นปัจจัยสะสมปัญญาต่อไป ที่จะเป็นดอกบัวบานในอนาคต ที่จะดอกบัวใน 3 เหล่าที่พร้อมจะบานคือ บรรลุธรรมได้ซึ่งผู้ถามมีความเข้าใจถูกต้องแล้ว ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาคุณอนุเคราะห์เกื้อกูลสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง ด้วยการแสดงพระธรรมที่เหมาะควรแก่อัธยาศัยของแต่ละบุคคล ผู้ที่ได้สั่งสมบารมีมาก็ได้ฟัง และสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ส่วนผู้ที่ไม่ได้บรรลุ ก็สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกเพื่อประโยชน์ในภายหน้าต่อไป จากการทรงแสดงพระธรรมของพระองค์ บางครั้งทรงยกเป็นอุทเทศ (หัวข้อ) ขึ้นแสดงเท่านั้น บางครั้งก็ทรงแสดงโดยละเอียด ซึ่งทั้งหมดทั้งปวง ก็เพื่อประโยชน์ของผู้ฟังอย่างแท้จริง เพราะจากการแสดงพระธรรมของพระองค์นั้น พระองค์ไม่ทรงหวังอะไรจากผู้ฟังแม้แต่น้อย นอกจากผู้ฟังจะเข้าใจเป็นปัญญาของตนเองเท่านั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลผู้ที่ได้สะสมอบรมเจริญเหตุที่ดีมา นั่นก็คือ ได้สะสมการฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มา จึงมีโอกาสได้ฟังพระธรรม และมีความเข้าใจไป ตามลำดับ โดยกล่าวถึงบุคคล ๔ จำพวก ผู้พอจะแนะนำได้ โดย ๓ ประเภทแรก สามารถบรรลุได้ในชาตินั้น แต่บุคคลประเภทที่ ๔ คือ ปทปรมบุคคล ไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินั้น แต่ก็ต้องเป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟังพระธรรม ได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก การฟังพระธรรม ไม่ไร้ผลอย่างแน่นอน สะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้าได้ จนกว่าปัญญาจะถึงความเจริญสมบูรณ์พร้อมในที่สุด
ขณะนี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป เพราะเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมในชาตินี้จะสิ้นลงเมื่อใด ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ