วิบากกรรม

 
yinwan
วันที่  3 พ.ย. 2556
หมายเลข  23961
อ่าน  4,432

วิบากกรรมต่างๆ ทั้งที่เจตนาและไม่เจตนา ทั้งที่ทำไปแล้วแต่ยังพึงระลึกเสมอ ว่าเราจะหาทางแก้ไข แต่เพียงแต่อยู่ในสภาวะที่ยังไม่พร้อม จะส่งผลต่อตัวเราอย่างไรบ้าง และสามารถแก้ไขวิบากกรรมนั้นๆ ลดวิบากกรรม ได้หรือไม่ ต้องทำอย่างไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 3 พ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วิบาก เป็นผลของกรรม มาจากกรรมที่ได้กระทำแล้ว ทั้งนั้น เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

กรรม คือ การกระทำ กรรม มีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ผลจึงต่างกัน กล่าวคือ กรรมดีให้ผล ที่ดี ทำให้มีความสุข ส่วนกรรมชั่วให้ผลที่ไม่ดี ทำให้มีความทุกข์ เมื่อทำกรรมสำเร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรรมในชาตินี้หรือกรรมในชาติก่อนๆ ที่ผ่านมา เมื่อถึงคราวให้ผล ย่อมให้ผลตามฐานะของกรรม นั้นๆ ไม่มีใครสามารถลบล้างกรรมที่ทำสำเร็จไปแล้วได้ แต่มีหนทางที่เป็นไปเพื่อการสิ้นกรรมทั้งหมดได้ นั่นก็คือ การอบรมเจริญปัญญาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ดับขันธ์ปรินิพพาน (ตาย) ไม่ต้องเกิดอีก เมื่อไม่เกิด จึงไม่มีการได้รับผลของกรรมใดๆ อีกเลย เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า ถ้าลบล้างกรรมชั่วได้ คงไม่มีใครไปเกิดในอบายภูมิ เพราะทุจริตกรรม คงไม่มีใครเกิดมาเป็นคนยากจนเข็ญใจ คงไม่มีใครเกิดมารูปไม่งาม และทุกคนจะมีแต่ความสุขความเจริญอย่างเดียว แต่ตามความเป็นจริงแล้ว สัตว์โลกมีความแตกต่างกันเพราะกรรม เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วควรอย่างยิ่งที่จะสะสมแต่กรรมที่ดี สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปไม่สามารถย้อนกลับคืนได้ แต่สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ ยังไม่สายจนเกินไปสำหรับการทำความดี ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 3 พ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระพุทธศานา เป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่เป็นเรื่องของการจะได้ โดยมาก สัตว์โลก

รักตนเอง อยากที่จะได้รับสิ่งทีดี่ๆ แต่ก็ทำเหตุที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น เมื่อมีเหตุปัจจย

กรรมนั้นก้ต้องให้ผล ดังนั้น แทนที่จะไปห้ามวิบาก หรือ ให้วิบากน้อยลง ก็ควรที่

จะแสวงหา สาเหตุที่ทำให้ทำบาป ว่าเกิดจากอะไร นั่นก็คอ เกิดจากกิเลสในจิตใจ

ของผู้นั้น เพราะฉะนั้น การแก้ปัญหาที่ถูกวิธี คือ การแก้ที่ต้นเหตุ ไม่ใช่การแก้ที่

ปลายเหตุ ด้วยการละกิเลส ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ประการต่างๆ และ จะ

ละกิเลสได้อย่างไร ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับกิเลส นั่น

ก็คือ ปัญญา ดังนั้นแทนที่จะแก้วิบาก ก็ควรที่จะเข้าใจวิบาก คือ เข้าใจว่าธรรม

และเป็นอนัตตา วิบกา ที่มีในชีวิตประจำวัน เช่น เห็นไ ด้ยินไ ด้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบ

สัมผัส เข้าใจ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล การเข้าใจ

เช่นนี้ ก็จะทำให้ละกิเลส ที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ ต้นเหตุของการทำบาปได้จริงๆ ครับ

การศึกษาระธรรม จึงเป็นวิธีการแก้กรรมที่ดีที่สุด เพราะ แก้ที่ต้นเหตุ ให้เกิดปัญญา

ละกิเลส ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
papon
วันที่ 4 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 4 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
yinwan
วันที่ 5 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และอนุโมทนาสาธุครับ รู้ถึงเหตุปัจจัย จะพยามฝึกจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
peem
วันที่ 6 พ.ย. 2556

ขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
tanrat
วันที่ 20 พ.ย. 2556

หากฟังพระธรรม เข้าใจขั้นการฟัง พิจรณา ก็เข้าใจว่า การกระทำใดๆ ก็ตามย่อมมีผล ต้องมั่นคงอย่างนี้ หากกระทำแล้วเกรงกลัวว่าจะต้องรับผล วุ่นวายเดือดร้อน นั่นจิตกำลังสะสมทุุกอย่าง ผ่องใสหรือเศร้าหมอง ขั้นการฟังต้องพิจรณา กระทำ แล้วก็ไม่เดือดร้อนภายหลัง กุศลแต่ละขณะเกิดยากต้องขัดเกลาจนกว่า กุศลมากกว่าอกุศล

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Sea
วันที่ 28 ต.ค. 2564

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ