เจ้ากรรม นายเวร.
- เรียนถามอาจารย์เจ้ากรรม-นายเวร คือใครครับ
- เจ้ากรรม กับนายเวรเป็นคนเดียวกันหรือไม่
- การแก้กรรมเป็นอย่างไร
- ประชาชนเกือบทั้งประเทศนิยมไปแก้กรรม ลดกรรม แก้ชง พระมีหน้าที่ทำให้ใช่ไหมครับ
- เจ้ากรรม-นายเวร เป็นการจองเวรกันข้ามภพข้ามชาติใช่ไหม่ครับ
ขอบคุณครับอาจารย์
เรียนถามอาจารย์ เจ้ากรรม-นายเวร คือใคร ครับ
เจ้ากรรมนายเวร ไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ไม่มีใครเป็นเจ้ากรรมนายเวร ครับ
เวลานี้ใครมองเห็นเจ้ากรรมนายเวรบ้าง ฟังดูเสมือนว่าทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวรแต่ตามความเป็นจริงนั้น ทุกคนเป็นทายาทของกรรมของตนเองกรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีตย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ผลเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลดีที่กำลังได้รับความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายก็ไม่ใช่บุคคลอื่นบันดาลให้ แต่กุศลที่ผู้นั้นได้กระทำแล้วในอดีต เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสสิ่งที่ดีๆ ฉะนั้น เมื่อกุศลให้ผล ก็ทำให้ได้รับความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ฉันนั้น ถ้าถูกคนอื่นทำร้าย ก็อาจจะคิดว่าเพราะคนนั้นทำ แต่ถ้าไม่ได้ถูกใครทำร้ายเลย เวลาตกบันไดหรือเจ็บป่วยต่างๆ นั้น ใครทำให้ ขณะที่ถูกก้อนหินหล่นใส่ ก้อนหินเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราหรือไม่ ขณะที่เกิด ที่เป็นผลของกรรม มีเจ้ากรรามนายเวรที่ทำให้เกิดหรือไม่ หรือว่าเพราะกรรมของเราเองที่ทำไว้ จึงทำให้เกิด ฉะนั้น แต่ละคนจึงมีกรรมของตนเองเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะทำให้ผลของกรรมเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ต่างๆ สิ่งต่างๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ฉะนั้น เรื่องเจ้ากรรมนายเวร จึงเป็นเรื่องรับฟังต่อๆ กันม าโดยไม่รู้ว่าใครเคยเห็นเจ้ากรรมนายเวรที่ไหน เมื่อไหร่ เพียงแต่นึกว่ามีบุคคลที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เป็นทุกข์เดือดร้อนต่างๆ แต่ความจริงนั้น ทุกคนมีกรรมเป็นของของตนเอง ครับ
- เจ้ากรรม กับนายเวรเป็นคนเดียวกันหรือไม่
ไม่มีคนเดียวกัน เพราะ ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร ครับ
-การแก้กรรมเป็นอย่างไร?
เมื่อยังไม่รู้จัก แม้แต่คำว่า กรรม คือ อะไรก็ไม่สามารถที่จะไปแก้ในสิ่งที่ไม่รู้ และเมื่อทำด้วยความไม่รู้ ด้วยกิเลส แทนที่จะแก้กรรม ขณะนั้ก็ก่อกรรมใหม่ คือ กรรมที่ทำด้วยความเห็นผิด เพราะ กรรม คือ เจตนาเจตสิก ที่เกิดกับจิตที่เป็นกุศลจิต อกุศลจิต ขณะที่ทำกรรม คือ เกิดกุศลกรรมทางกาย วาจาและใจ แต่เป็นกรรมดี ส่วนขณะที่อกุศลกรรมเกิดทางกาย วาจา และ ใจ ก็เป็นกรรมที่ไมดี เพราะฉะนั้น กระทำทางกาย วาจาและใจ ด้วยความเห็นผิดที่แก้กรรม ก็เพิ่มอกุศลกรรม เพิ่มขยะในใจ ไม่สามารถที่จะแก้กรรมได้ กลับเพิ่มอกุศลกรรมไว้ในจิตใจ อันจะเป็นปัจจัยให้ทำบาป และ ได้รับผลไม่ดีต่อไปในอนาคตด้วย ครับ ไม่มีใครแก้กรรม หนีไปจากกรรมที่ได้ทำมาได้ ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิด เปรียบเหมือนสุนัขล่าเนื้อ ที่วิ่งไล่ตาม ทันเมื่อใดก็กัดเมื่อนั้น กรรมที่ได้ทำแล้ว เมื่อถึงเวลาให้ผลก็สามารถให้ได้ ดังนั้น จึงควรพิจารณาว่า ควรที่จะแก้ที่ปลายเหตุ คือ กรรมที่ได้ทำแล้ว ซึ่งไม่สามารถแก้ได้ หรือ ควรที่จะแก้ที่ต้นเหตุ คือ เหตุให้มีการทำอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น ผู้ที่กลัวกรรมไม่ดี ก็ควรทำสิ่งที่ไม่ดี แต่การจะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีได้ก็ต้อง ไม่มีกิเลส อันเป็นต้นเหตุของทุกข์ทั้งปวง แทนที่จะแก้กรรม ก็แก้ที่ต้นเหตุ คือ กิเลสที่ทำให้เกิดกรรม มีการทำอกุศลกรรม ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมปัญญา แม้พระพุทธเจ้า ก็ไม่สามรถหลีกหนีกรรมที่พระพุทธองค์เคยทำไว้ในอดีตชาติได้ แต่พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริง และดับกิเลส ทำให้ไม่ต้องมารับกรรมอีก อันเป็นวิธีที่แก้กรรมที่ถูกต้อง เพราะ จะไม่มีการทำกรรมอีก เมื่อไม่มีกรรม ก็ไม่ต้องทำกรรม เมื่อไม่มีการทำกรรม ก็ไม่ต้องมาแก้กรรม ซึ่ง การแก้กรรม ก็ต้องแก้ด้วยปัญญา ด้วยการสางรกชัฎ คือ กิเลสด้วยปัญญาที่อบรมอย่างยาวนานจนหมดสิ้น ครับ
ขออนุโมทนา
เชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ในเรื่อง กรรม ดังนี้ ครับ
จากการสนทนาธรรม ที่ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง
ท่านอาจารย์สุจินต์ ได้ถามผู้ถามเรื่องการแก้กรรมว่ากรรมแก้ได้อย่างไร
อาหารที่ทานไปแล้ว ใครอิ่ม ใครทานคนนั้นก็อิ่ม เขาก็บอกว่าแก้กรรมโดยการสวดมนต์ ท่านอาจารย์กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นคนไทยไม่มีบาปเลย แค่สวดมนต์ก็แก้กรรมได้ ท่านอาจารย์ถามต่อว่า ใครให้แก้กรรม เขาเป็นใคร ที่จะให้คนนี้แก้กรรม เป็นไปได้อย่างไร ไม่เช่นนั้นทุกคนหมดกรรมกันหมด ต้องโทษคนที่ทำตามที่ไปเชื่อเขาเอง แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงประชวร ท่านพระโมคคัลลนะถูกทุบ.....แล้วใครเป็นคนให้แก้กรรม
ผู้ถาม ขณะที่เห็นขณะนี้ก็คือ วิบากที่เราเคยทำมา แต่ว่าเราไม่รู้ว่า ตั้งแต่เมื่อไร ทำมา ไม่สามารถที่จะพบได้ ทีนี้วิบากที่เราจะเกิดขึ้นต่อๆ ไปอีก เราสามารถที่จะ คล้ายๆ ทำให้วิบากมันดี คือ บางอย่าง เช่นเราไปรู้ว่า พรุ่งนี้เราจะตาย เราจะแก้วิบากที่มันจะตายพรุ่งนี้ได้ไหม ถ้าเกิดเราทำกุศลที่หนักๆ เพื่อแก้วิบาก สมมติว่ามีลางสังหรณ์ หรือว่ามีบางสิ่งบางอย่างทำให้รู้ว่า พรุ่งนี้คงจะเกิดอุบัติเหตุ หรือจะมีอะไรสักอย่างหนึ่งเราก็เลยไปบวชดีกว่า หรือทำนองว่าทำกุศลที่มันหนักๆ ไว้ ก็อาจจะแก้ได้ ในกรณีนี้สามารถจะเป็นไปได้ไหมครับ
สุ. กรรมที่ได้ทำสำเร็จแล้ว ทำสำเร็จแล้วก่อนจะตายนานนะคะ ที่จะเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ไม่ใช่ไปทำตอนที่จะตาย เพราะฉะนั้นจะแก้ตอนไหน เวลาไหน
ผู้ถาม ในอนาคตเราไม่รู้ว่าวิบากอะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง ทีนี้เราต้องการได้วิบากทีดีๆ ตลอดเวลา
สุ. เราก็ต้องทำกุศลมากๆ
ผู้ถาม ครับ แล้วก็ต้องทำกุศลตลอด เพื่อให้วิบาก คือมีอาจารย์บางท่านสมมติว่า ภูเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่งเป็นลูกอกุศล อีกลูกหนึ่งเป็นกุศล ติดตามเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราพลาดหรือเรามี คล้ายๆ ทำอกุศล ภูเขาลูกอกุศลก็จะตามทับเราทันที ในทำนองนี้จะใช้ได้ไหมครับ หมายถึงว่า..
สุ. เป็นปัจจัยที่จะทำให้เราเกิดกุศลมากๆ หรือเปล่าคะ
ผู้ถาม ครับ ทำนองนั้น
สุ. ค่ะ อะไรก็ตามที่จะทำให้เราเกิดสติแล้วก็เป็นกุศลมากๆ ก็จะทำให้เกิดกุศลวิบาก ตามควรแก่เหตุ
ผู้ถาม เป็นทำนองว่าหน้าที่ของกรรม กรรมหนักก็ต้องมาก่อน
สุ. ถ้ายังไม่เป็นพระโสดาบัน ก็ยังมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดในอบายภูมิ เพราะฉะนั้นกุศลที่ควรจะเจริญที่สุด คือ การเจริญสติปัฏฐานเพื่อที่จะได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะไม่ทราบว่าเกิดมาแล้วเท่าไร แล้วจะเกิดต่อไป นานเท่าไร ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม
- ประชาชนเกือบทั้งประเทศนิยมไปแก้กรรม ลดกรรม แก้ชง พระมีหน้าที่ทำให้ใช่ไหมครับ
พระ มีหน้าที่ศึกษาพระธรรม และ อบรมปัญญาแพื่อดับกิเลส ไม่ใช่อย่างอื่น ครับ การไปแก้กรรม จึงผิดพระวินัยอย่างแน่นอน ไม่ควรกระทำโดยประการทั้งปวง
- เจ้ากรรม-นายเวร เป็นการจองเวรกันข้ามภพข้ามชาติใช่ไหม่ครับ
ไม่มีใครจองใคร แต่เวรที่แท้จริงคือ อกุศลกรรมที่ได้ทำ ย่อมจองเวรผู้นั้นเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมย่อมให้ผลที่ไม่ดี ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เจ้ากรรมนายเวรไม่มี เพราะสัตว์โลกมีกรรมเป็นของของตน เมื่อเหตุมีแล้ว วิบากจึงเกิดขึ้นได้
วิบาก เป็นผลของกรรม มาจากกรรมที่ได้กระทำแล้ว ทั้งนั้น เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
กรรม คือ การกระทำ กรรม มีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ผลจึงต่างกัน กล่าวคือ กรรมดีให้ผลที่ดี ทำให้มีความสุข ส่วนกรรมชั่วให้ผลที่ไม่ดี ทำให้มีความทุกข์เมื่อทำกรรมสำเร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรรมในชาตินี้หรือกรรมในชาติก่อนๆ ที่ผ่านมา
เมื่อถึงคราวให้ผล ย่อมให้ผลตามฐานะของกรรม นั้นๆ ไม่มีใครสามารถลบ
ล้างกรรมที่ทำสำเร็จไปแล้วได้ แต่มีหนทางที่เป็นไปเพื่อการสิ้นกรรมทั้งหมดได้
นั่นก็คือ การอบรมเจริญปัญญาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ดับขันธ์ปรินิพพาน (ตาย)
ไม่ต้องเกิดอีก เมื่อไม่เกิด จึงไม่มีการได้รับผลของกรรมใดๆ อีกเลย
เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า ถ้าลบล้างกรรมชั่วได้ คงไม่มีใครไปเกิดในอบายภูมิ
เพราะทุจริตกรรม คงไม่มีใครเกิดมาเป็นคนยากจนเข็ญใจ คงไม่มีใครเกิดมารูป
ไม่งาม และทุกคนจะมีแต่ความสุขความเจริญอย่างเดียว แต่ตามความเป็นจริง
แล้ว สัตว์โลกมีความแตกต่างกันเพราะกรรม เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วควรอย่างยิ่งที่
จะสะสมแต่กรรมที่ดี สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปไม่สามารถย้อนกลับคืนได้
แต่สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ ยังไม่สายจนเกินไปสำหรับการทำความดี
-ไม่มีใครลบล้างกรรมหรือแก้กรรมให้ใครได้. ถ้ามีใครบอกว่าคนนั้นคนนี้แก้กรรมได้นั่น
ไม่เป็นความจริงเลย เป็นการโกหกหลอกลวงอย่างแท้จริง และหน้าที่พระภิกษุ
คือศึกษาพระธรรมเจริญปัญญาขัดเกลนกิเลสของตนเองและเผยแพร่ในสิ่งที่ถูกต้อง
ไม่ใช่ชักชวนให้คนอื่นหลงงมงายครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ผู้คนชอบของปลอม ทำให้ติดข้องต้องการ ข้ามน้ำข้ามเขาไปแสวงหาผู้มาแก้การกระทำของตน โดยที่ไม่เข้าใจเหตุและผล เขาบอกว่าบุคคลท่านนี้ช่วยแก้กรรมได้ก็ไปหา แท้ที่จริงอยู่ที่จิตของตน ทนต่อความทุกข์ไม่ได้ หาไปหามาก็เหมือนอยู่ในที่แคบๆ แล้วก็จากไป โดยที่ไม่รู้อะไร หมดไปเป็นชาติๆ บางคนผู้ที่ฉวยโอกาสในความทุกข์ของผู้อ่ืน ต้องการลาภสักการะ ความสดวกสบายแห่งตนก็ตั้งตนเป็นผู้แก้กรรมได้ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ผู้ที่่ขาดคุณธรรมเห็นโอกาสที่จะสร้างความร่ำรวยก็ทำไรๆ ให้ แล้วบอกว่านี่แหละแก้กรรมได้แล้ว หมดทุกข์โศรกซะที