กรรมบถและวิบาก เกิดในฝันได้หรือไม่ครับ

 
Thanks
วันที่  23 พ.ย. 2556
หมายเลข  24060
อ่าน  1,958

หากฝันว่า ฟังธรรมแล้วเข้าใจ ฝันว่ากำลังสอนธรรมะให้คนไม่รู้จักในฝัน สอนธรรมะให้คนที่ตายไปแล้ว ฝันว่ากำลังถกเถียงทะเลาะวิวาทกับคนที่ตายไปแล้ว (ไม่แน่ใจว่า มาหาจริงๆ หรือเราคิดไปเอง) นี่เป็นกรรมบถที่เกิดขณะฝันหรือเปล่าครับ สมมติถ้าเป็นฝันแบบเทวดามาเข้าฝัน แล้วเราไปกระทำวจีกรรมทั้งกุศลและอกุศลต่อพวกเขา จัดเป็นกรรมบถหรือไม่ครับ แล้วฝันว่ามีคนมาสอนธรรมะ มาบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า เตือนภัยต่างๆ อย่างแม่นยำ หรือฝันว่ามีผีน่ากลัวมากพุ่งเอามีดมาแทง แล้วก็รู้สึกเจ็บจุกจริงๆ บางทีไม่รู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ แต่บางทีก็รู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ และพยายามนึกเปลี่ยนเรื่องแต่ก็เปลี่ยนไม่ได้ เหมือนมาทำร้ายเราจริงๆ รู้สึกกระทบสัมผัสเหมือนตอนตื่นชัดเจนมาก ลักษณะนี้เป็นวิบากหรือการรับผลของกรรมหรือไม่ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Thanks
วันที่ 23 พ.ย. 2556

ขออนุญาต ถามต่ออีกนิดนะครับ

การฝันในลักษณะที่นึกเปลี่ยนภาพฝันได้ตามใจ เพราะรู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ กระทบสัมผัส ได้กลิ่น ได้ยินเสียง เหมือนตอนตื่นทุกอย่าง และรู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ เช่น ฝันว่าสิงโตจะมาขย้ำ ก็นึกเปลี่ยนให้กลายเป็นสุนัขน่ารักวิ่งมาหา ลักษณะนี้คืออะไรในเหตุแห่งการฝัน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 23 พ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สภาพธรรม เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นไปได้ ความเข้าใจพระธรรมก็ต้องค่อยๆ สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมไม่ได้เลยทีเดียว

ขณะที่กำลังฝัน ไม่พ้นไปจากนามธรรมคือ จิตและเจตสิก ที่ฝัน และขณะที่ฝันต้องไม่ใช่ขณะที่หลับสนิท เพราะถ้าเป็นขณะที่หลับสนิท จิตเป็นภวังค์ ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ จิตไม่ได้เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางใดทางหนึ่งใน ๖ ทาง จึงไม่ฝัน เพราะในขณะที่ฝันต้องเป็นวิถีจิต (จิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์์ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง) แต่ไม่ใช่วิถีจิตทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เป็นวิถีจิตทางใจ เท่านั้น ที่ฝัน เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง ตามการสะสม ซึ่งขณะที่กำลังฝันนั้น เป็นการคิดนึกถึงเรื่องบัญญัติของสิ่งที่เคยเห็น เคยได้ยิน เคยได้กลิ่น เป็นต้น นั่นเอง ในขณะที่ฝัน จิต เจตสิก เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่มีเราที่ฝัน ซึ่งเป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมเท่านั้น ส่วนเรื่องราวที่ฝัน ไม่มีจริง ซึ่งขณะที่ฝัน คือ จิตที่คิดทางมโนทวาร ซึ่งก็เป็นกุศลจิตบ้าง อกุศลจิตบ้าง ซึ่งไม่เป็นกรรม โดยนัยที่เป็นกรรมบถ ที่จะทำให้มีผล คือ เกิดวิบากทำให้ไปอบายภูมิ หรือ เกิดในสวรรค์ เพราะ กุศลจิต อกุศลจิตที่เกิดขึ้นในขณะที่ฝัน ยกตัวอย่าง เช่น ฝันว่าให้ทาน เกิดกุศลจิตในขณะนั้น แต่ไม่เป็นกรรมที่เป็นกรรมบถที่จะทำให้เกิดผลคือ ความสุข เกิดในสวรรค์ เพราะ ในความเป็นจริง ไม่ได้มีวัตถุที่จะให้จริงๆ เพียงคิดนึกว่าได้ให้ทาน ไม่ได้มีผู้รับจริงๆ เพียงแต่คิดนึกว่าได้ให้กับผู้รับ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเพียงการคิดนึกว่าได้ให้ทาน เป็นกุศลจิต สะสมเป็นอุปนิสัยที่จะให้ แต่ไม่เป็นกรรม ที่จะทำให้เกิดผลเป็นวิบาก ครับ โดยนัยตรงกันข้ามในฝ่ายอกุศล เช่น ฝันว่าฆ่าสัตว์ ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต แต่ไม่ได้เป็นอกุศลกรรมที่จะทำให้มีการให้ผล ทำให้เกิดวิบาก มีการตกนรก เพราะ ไม่ได้ฆ่าสัตว์จริงๆ เพราะไม่ได้มีสัตว์จริงๆ ให้ฆ่าในขณะนั้น แต่เป็นเพียงความคิดนึกว่า ได้ฆ่าสัตว์ ครับ

สรุปได้ว่า ความฝันที่เป็นกุศลจิต อกุศลจิตที่เกิดขึ้น ไม่เป็นกรรมที่จะทำให้เกิดวิบาก เกิดผลของกรรม ตามเหตุผลที่กล่าวมา ขออนุโมทนา ครับ

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 643

ข้อความบางตอน ชื่อว่า การนอนหลับของบุคคล เพราะความเกลื่อนกล่นแล้วด้วยกุศลจิตเป็นต้น ซึ่งเป็นไปรวดเร็วบ่อยๆ อันใดก็ฉันนั้น การข้ามไปจากภวังค์บ่อยๆ เพราะความเป็นไปของการหลับอันใด การประกอบด้วยการหลับนั้น ย่อมเห็นสุบินเพราะเหตุนั้นการฝันนี้ ย่อมเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เป็นอัพยากตะบ้าง ในการฝันเหล่านั้น เมื่อบุคคลฝันว่าทำการไหว้พระเจดีย์ การฟังธรรม การแสดงธรรมเป็นต้น ย่อมเป็นกุศล เมื่อฝันว่าทำปาณาติบาตเป็นต้น ย่อมเป็นอกุศลพ้นจากจิตทั้งสองนี้ ในขณะแห่งอาวัชชนะและตทารัมมณะ พึงทราบว่าเป็นอัพยากตะ แม้ในเวลาที่กล่าวว่า สิ่งนี้เราเห็นแล้ว สิ่งนี้เราได้ยินแล้ว สิ่งที่ปรากฏแล้วนั่นแหละ ก็เป็นอัพยากตะเช่นกัน

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
j.jim
วันที่ 23 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 23 พ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ควรที่จะได้เข้าใจว่า ขณะที่หลับสนิท จะไม่ฝัน เพราะขณะที่หลับสนิทนั้น เป็นภวังคจิต จิตเกิดขึ้นดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ไว้ เป็นการรับผลของกรรม เพราะเป็นวิบากจิต แต่ถ้าเกิดฝันขึ้น ขณะนั้น ไม่ใช่วิบากจิตแล้ว ไม่ใช่การรับผลของกรรม แต่เป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิตที่ฝัน เป็นการสะสมกุศล หรืออกุศลต่อไป ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยจริงๆ ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็ยังต้องฝัน ซึ่งเป็นธรรมที่เกิด เพราะเหตุปัจจัยจากการที่เคยเห็น เคยได้ยิน เคยจำได้ ก็ทำให้ฝัน ซึ่งเป็นความคิดนึกทางใจ เป็นไปด้วยอำนาจของกุศลบ้าง อกุศลบ้าง บุคคลที่ไม่ฝันเลยคือ พระอรหันต์ เพราะดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้นแล้ว ไม่มีทั้งกุศลและอกุศลเกิดขึ้นอีกเลย ครับ

อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 23 พ.ย. 2556

ฝันไม่เป็นกรรมบถ เช่น ฝันว่าฆ่าคน ฝันว่าขโมยของ ไม่เป็นกรรมบถ

เพราะเป็นอกุศลจิต ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
orawan.c
วันที่ 24 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Thanks
วันที่ 25 พ.ย. 2556

ขอบพระคุณสำหรับคำตอบทุกท่านครับ ขออนุโมทนา

ผมขออนุญาตถามต่อนะครับ

เหตุแห่งการฝัน มีลักษณะที่เทวดามาทำให้ฝันด้วย หรือเรียกว่ามาเข้าฝันแบบภาษาชาวบ้านทั่วไป ถ้าหากเรากล่าวธรรมะสอนเขา หรือเขากล่าวธรรมะแล้วเราได้ฟังธรรมะนั้น ก็ยังถือว่าไม่ใช่กุศลกรรมและกุศลวิบากหรือครับ หรือว่ากรรมบถและวิบากต่างๆ เกิดเฉพาะสิ่งที่เราทำกับมนุษย์หรือเดรัจฉานเฉพาะตอนตื่นเท่านั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ