ความหลากหลายทางเพศ (เพศที่สาม)

 
lovedhamma
วันที่  29 พ.ย. 2556
หมายเลข  24103
อ่าน  1,504

มีคนยืนยันว่า คนเกิดเป็นเกย์ เลสเบี้ยน กะเทย ทอมดี้ ความหลากหลายทางเพศ ต้องเคยทำกรรมชั่วในอดีตชาติครั้งใดครั้งหนึ่งไว้อย่างแน่นอน โดยเค้าบอก ให้เหตุผลมาว่า เพราะคนพวกนี้ต้องมาได้รับการประนามจากสังคมและครอบครัว ทำให้ได้รับความทุกข์กาย ทุกข์ใจ แต่งงาน-มีบุตรก็ไม่ได้ แถมบั้นปลายชีวิต ก็ยังหาความแน่นอนไม่ได้ และต้องเป็นกังวลว่า จะอยู่อย่างไร จะมีใครมาดูแล หรืออีกเหตุผลหนึ่งก็หาว่า ถ้าอาศัยความยินดีพอใจ (พอใจในเพศไหนย่อมเกิดเป็นเพศนั้น) ได้ เค้าก็ให้เหตุผลว่ามันจะมีใครที่อยากจะเกิดมาเป็นเพศที่ ๓ จากทั้งหมดที่บรรยายมา อยากถามผู้รู้ทุกท่านว่า

๑) ข้อความที่พิมพ์ตัวหนาทั้งหมด จะเกี่ยวกับอกุศลกรรมอะไรได้บ้าง

๒) จริงๆ แล้ว ภาวรูปที่เกิดเป็นชายเป็นหญิงนั้น ในพระพุทธศาสนาถือเพียงแค่ไว้ใช้ในการบรรลุธรรมเท่านั้นเอง และสิ่งที่สังคมบัญญัติว่า ผู้ชายต้องเข้มแข็ง...แมน และ ผู้หญิงต้องนุ่มนวล เรียบร้อย เป็นแม่ศรีเรือน ก็เป็นเพียงสมมติเท่านั้น หากจะทำตัวกลับกัน ก็ไม่ผิดบาป ใช่หรือไม่

๓) การที่คนๆ นึง ได้รับความทุกข์กายหรือใจ ไม่ได้แปลว่า ต้องเป็นผลของอกุศลกรรม (ทั้งจากกาย วาจา และใจ) เสมอไป แต่เป็นผลของการที่ต้องอยู่กับคนที่มีอวิชชา (มีความติดข้อง) มากต่างหาก จริงหรือไม่ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 30 พ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อที่ ๑ การได้ยินเสียงที่ไม่ดี เป็นต้น เป็นผลของกรรม คือ ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ดี หรือ ไม่ดีก็ตามเป็นผลของกรรมทั้งสิ้น แต่ขณะใดที่ทุกข์ใจ ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต ไม่ใช่อกุศลกรรม เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่ว่าใคร จะได้รับผของอกุศลกรรม โดยไม่ได้จำกัดว่าเป็นเพศใด ตามอกุศลกรรมที่ทำมาเท่านั้น ครับ

ข้อที่ ๒ ภาวรูป ก็เป็นรูปที่แสดงความเป็นชาย และ หญิงที่เป็นรูปที่เกิดจากรรมเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่ว่า ใครจะมีหรือไม่มี ตามกรรมที่จัดสรร ครับ

ข้อที่ ๓ การทุกข์ใจ ไม่ใช่ผลของอกุศลกรรม แต่ เป็นอกุศลจิตที่เกิดขึ้นซึ่ง การเกิดความทุกข์ใจ ไม่ใช่เพราะ การอยู่ร่วมกับคนอื่นที่มีกิเลส แต่เกิดจากกิเลสที่มีของตนเอง ดั่งเช่น พระอรหันต์ ที่อยู่กับผู้คนที่มีกิเลส แต่ท่านก็ไม่ทุกข์ใจ เพราะท่านไม่มีกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ใจแล้ว ครับ ดังนั้น ทุกข์ที่แท้จริงที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากใคร แต่เกิดจากกิเลสที่มีในจิตใจของตนเองเป็นสำคัญ จึงควรศึกษาษา อบรมปัญญาด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อันจะเป็นหนทางการดับกิเลสได้ในที่สุดครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 30 พ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การเกิดเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรม เมื่อเกิดมาแล้ว จะประสบกับสิ่งที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ ก็ไม่มีใครทำให้เลย นอกจากเป็นผลของกรรมที่ตนเองได้กระทำแล้ว เท่านั้น

แต่ละคน ที่เกิดมาไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย แต่ละคนก็มีภาวรูป เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกัน แต่ที่ความโน้มเอียงเบี่ยงเบนไปผิดจากภาวะของตน นั่น เป็นผลของการสะสมที่เป็นความชอบติดข้องต้องการทั้งหมดนั้น ก็ไม่ได้เป็นเครื่องกั้นของการสะสมความดีและฟังพระธรรมเลย ถ้าเห็นประโยชน์ก็ไม่ควรละโอกาสอันสำคัญที่จะทำให้ความดี และปัญญาเจริญขึ้น

ทุกข์ใจเป็นเรื่องของกิเลส เพราะสะสมมาอย่างมากมายและเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ แต่ถ้าได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกเพิ่มขึ้น ความทุกข์ใจ ก็จะน้อยลง คล้อยตามความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น เพราะฉะนั้นแล้วที่พึ่งที่แท้จริงจึงไม่พ้นไปจากความเข้าใจถูกเห็นถูก ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 30 พ.ย. 2556

กิเลสอยู่ที่เรา คนอื่นเป็นส่วนประกอบ เห็นแล้วเกิดปัญญาก็ได้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Wisaka
วันที่ 1 ธ.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
BudCoP
วันที่ 4 ธ.ค. 2556

วนฺทามิ รตนตฺตยํ

ขอกราบกรานพระไตรรัตน์

สวัสดี ครับ ขอร่วมสนทนาด้วยคนนะครับ

คำถามค่อนข้างคลุมเครือ จึงต้องเอาวิชาการมาใช้มาก อ่านยากหน่อยนะครับ สงสัยก็ถามเพิ่มได้ ครับ

ข้อความว่า มีคนยืนยันว่า คนเกิดเป็นเกย์ เลสเบี้ยน กะเทย ทอมดี้...ความหลากหลายทางเพศ ต้องเคยทำกรรมชั่วในอดีตชาติครั้งใดครั้งหนึ่งไว้อย่างแน่นอน โดยเค้าบอก/ให้เหตุผลมาว่า เพราะคนพวกนี้ต้องมาได้รับการประนามจากสังคมและครอบครัว ทำให้ได้รับความทุกข์กาย ทุกข์ใจ แต่งงาน-มีบุตรก็ไม่ได้ แถมบั้นปลายชีวิตก็ยังหาความแน่นอนไม่ได้และต้องเป็นกังวลว่า...จะอยู่อย่างไร...จะมีใครมาดูแล หรืออีกเหตุผลหนึ่งก็หาว่า ถ้าอาศัยความยินดีพอใจ (พอใจในเพศไหนย่อมเกิดเป็นเพศนั้น) ได้ เค้าก็ให้เหตุผลว่ามันจะมีใครที่อยากจะเกิดมาเป็นเพศที่ 3

ตอบว่า ข้อความข้างต้นผู้พูดเป็นคนช่างสังเกตมากครับ น่าชื่นชม

บุคคลเหล่านี้ ท่านแบ่งไว้คือ หลายประเภทครับ ซึ่งแต่ละประเภทนั้น ทำกรรมมาต่างๆ กัน บางประเภท ให้ผลตั้งแต่เกิด เช่น นปุงสกบัณเฑาะก์ พวกสองเพศ เป็นต้น แต่บางประเภท ก็ไม่ได้มาจากกรรมนำเกิด แต่เป็นกิเลสที่มีกำลัง หรือความวิปัลลาสแห่งจิต ตามแบบอัคคัญญสูตร เช่น อาสิตบัณเฑาะก์ เป็นต้น แต่มนุษย์เราทุกคน ล้วนอยู่ได้ด้วยกรรมครับ ผ่านทางกรรนำเกิด กรรมรักษาภพ กรรมจุติ กรรมในปวัตติกาลอื่นๆ ผลของกรรมเหล่านั้น ก็คือ กัมมชรูปเกือบทั้งตัว วิบากทางทวาร 6 วิบากนอกทวาร ซึ่งจะเห็นได้
นะครับ ว่ามีมากทีเดียว

กรรมเหล่านั้น จะสร้างวิบาก และกัมมชรูป ในสภาพแวดล้อมที่คู่ควรแก่การให้ผลของตน เช่น คนเคยผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร เศษกรรมโลภทิฏฐิคตสัมปยุตตกรรมจะไปเบียดมหากุศลญาณสัมปยุตต์ ไม่ให้สามารถให้ผลได้ จึงเหลือแต่มหากุศลญาณวิปปยุตตจิต และอาจจะถูกเบียดจนเหลือแค่ญาณวิปปยุตต์ที่ไม่มีกำลัง มาให้ผลนำเกิดเป็นอเหตุกกุสลอุเบกขาสันตีรณวิบากจิตนำเกิดเป็นมนุษย์ แต่อาจจะไม่มีเพศมีสองเพศ เป็นบ้า เป็นต้น ไปเสีย แล้วกรรมนี้ก็จะรักษาการเกิดนั้นไปจนตายด้วย อันนี้เป็นตัวอย่างของปฏิสนธิกรรม ที่แม้เป็นมหากุศลให้ผล ก็อาจถูกกรรมที่เป็นเหตุให้ได้เป็นบัณเฑาะก์เบียดบังจนกลายเป็นบัณเฑาะก์ ครับ

ยังมีอีกหลายกรณี แต่ขอยกตัวอย่างแค่นี้นะครับ

ข้อความว่า:

๑) ข้อความที่พิมพ์ตัวหนาทั้งหมด จะเกี่ยวกับอกุศลกรรมอะไรได้บ้าง

เยอะแยะ ครับ ไม่เป็นบัณเฑาะก์ ก็ได้รับผลเช่นนั้นได้ แต่เท่าที่มีตัวอย่างระบุไว้ การเป็ณบัณเฑาะก์ ก็ด้วยผลของกาเมสุมิจฉาจาร (โลภทิฏฐิคตสัมปยุตต์) การด้อยยศ ก็เพราะการถือตัวจัด การต้องอยู่โดดเดี่ยว ก็เพราะทำทานไม่ชักชวนผู้อื่นทำด้วย เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องเป็นกรรมที่ทำให้เป็นบัณเฑาะก์ ครับ แต่กรรมที่เป็นบัณเฑาะก์ อาจจะเปิดช่องให้กรรมอื่นๆ ให้ผลได้

ส่วนจะระบุให้ชัดกว่านี้ได้นั้น ต้องดูรายบุคคล ครับ และคนที่จะระบุให้ได้ตรงจริงๆ ก็ต้องมีความสามารถ ครับ เพราะเป็นเรื่องอจินไตย คนธรรมดาคิดไป ก็ฟุ้งซ่านเปล่า ครับ

ข้อความว่า:

๒) จริงๆ แล้ว ภาวรูปที่เกิดเป็นชายเป็นหญิงนั้น ในพระพุทธศาสนาถือเพียง แค่ไว้ใช้ในการบรรลุธรรมเท่านั้นเอง และสิ่งที่สังคมบัญญัติว่า ผู้ชายต้องเข้มแข็ง แมน และ ผู้หญิงต้องนุ่มนวล เรียบร้อย เป็นแม่ศรีเรือน ก็เป็นเพียงสมมติเท่านั้น หากจะทำตัวกลับกัน ก็ไม่ผิดบาป ใช่หรือไม่

ไม่ใช่ ครับ เพราะลักขณาทิจตุกกะ ของภาวรูปและพระสูตรไม่ได้กล่าวเช่นนั้น ครับ

อ่าน ลักขณาทิจจตุกกะของภาวรูปท้ายหน้า ใน ลิงก์นี้ ครับ

อ่าน พระสูตรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ใน ลิงก์นี้ ครับ

ข้อความว่า:

3) การที่คนๆ นึง ได้รับความทุกข์กายหรือใจ ไม่ได้แปลว่า ต้องเป็นผลของอกุศลกรรม (ทั้งจากกาย วาจา และใจ) เสมอไป แต่เป็นผลของการที่

ต้องอยู่กับคนที่มีอวิชชา (มีความติดข้อง) มากต่างหาก จริงหรือไม่ครับ

ทุกข์กายต้องเป็นผลของอกุศลกรรมแน่นอน ครับ

ทุกข์ใจ เป็นบาปกรรมใหม่ที่กำลังทำอยู่ ไม่ใช่ผลของกรรม ครับ แต่ทุกข์ใจมักเกิดในสภาพแวดล้อมที่เนื่องกับผลของบาปกรรม เช่น คนเป็นบัณเฑาะก์ โดนหยิกแกล้ง ทุกข์กายเป็นผลของอกุศลกรรม แล้วยังเสียใจ ทุกข์ใจ อันนี้ เป็นบาปกรรมใหม่ ที่เนื่องอยู่กับผลของกุศลกรรมที่นำเกิด และกุศลกรรมนำเกิดนี้ ก็ดันไปเนื่องอยู่ กับการถูกเบียดเบียนด้วยอกุศลกรรมที่ทำให้เป็นบัณเฑาะก์อีกที เพราะถูกเบียดเบียนจากกรรมนี้ หรือ กรรมนี้สนับสนุนให้วิบากตัวนี้เกิด เป็นต้น

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 8 เม.ย. 2564

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ