ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๑๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
(ภาพสนทนาธรรมที่ มศพ. บันทึกภาพโดยพี่วันชัย ภู่งาม ๒๗ ต.ค. ๕๖)
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ครั้งที่ ๑๑๙
เรื่องของการบรรลุมรรคผล เป็นเรื่องปัญญา เพราะฉะนั้น ถ้าได้เข้าใจจริงๆ
ว่า ปัญญาที่จะทำให้รู้แจ้งอริย- สัจจธรรมนั้น คือ ปัญญาที่สามารถประจักษ์
ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ถูกตรงตามความเป็นจริง
จะหมดความสงสัยว่า หนทางอื่น วิธีอื่นจะทำให้บรรลุมรรคผลได้หรือไม่?
ก็ไม่มีวิธีอื่นจริงๆ
การที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมนานาประการ เพื่อเกื้อกูลแก่สัตว์โลก
ที่มีอัธยาศัยต่างกันจริงๆ ท่านผู้ฟังรู้ชาติก่อนไหม? ชาตินี้จะเป็นชาติก่อน
ของชาติหน้าที่ชัดเจนมาก ชาติก่อนที่แล้วไปไม่สามารถที่จะรู้ชัดได้ แต่ชาตินี้
ท่านรู้ชัดยิ่งกว่าใครว่า ท่านทำกุศลกรรมอะไรบ้าง ท่านทำอกุศลกรรมอะไรบ้าง
และชาตินี้จะเป็นชาติก่อนของชาติหน้า
สิ่งที่ท่านสะสมมาในชาตินี้ ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจในเรื่องพระธรรม ก็จะเป็น
สิ่งที่สะสมสืบต่อไปถึงชาติหน้า ที่จะเกื้อกูลให้ท่านเกิดน้อมระลึกถึงความไม่เที่ยง
ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่จะปรากฏในชาติหน้า
เพราะเหตุว่าท่านเคยสะสมมาแล้วในปัจจุบันชาตินี้
กิเลสมีมากเหลือเกินในวันหนึ่งๆ นี้ จริงไหม? หรือว่ายังไม่มีใครเห็นกิเลส
ถ้าบอกว่ามีน้อย หมายความว่ายังไม่เห็นกิเลสตามความเป็นจริง แต่ถ้าทราบว่า
วันหนึ่งๆ นี้กิเลสมากเหลือเกิน ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
ทางใจ ผู้ใดทราบอย่างนี้ แสดงว่าผู้นั้นรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า
กิเลสนั้นมีมาก
เรื่องของธรรมเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องตรง เป็นเรื่องที่ประกอบด้วย
เหตุผล ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่สอบทานไตร่ตรองพิจารณา
เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
ท่านที่มีมิตรสหาย แล้วก็เคยคุยกันด้วยเรื่องต่างๆ พอศึกษาธรรมแล้ว
สนทนากันเรื่องธรรมได้ไหม? ก็ได้, จิตน้อมไปในธรรม แล้วมีโอกาสที่
จะได้เข้าใจชัดเจนละเอียดขึ้นและเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สติที่จะระลึกรู้
ลักษณะของสภาพธรรม โดยเฉพาะเมื่อเป็นการสนทนากันเรื่องของ
สภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้
คนขลาด ย่อมทำอกุศล แต่ว่าคนแกล้วกล้านี้ กล้าที่จะทำกุศลและ
ไม่ทำอกุศล เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนกล้าหาญ ที่จะไม่ทำอกุศลคน
ขลาดทำอกุศล เพราะเหตุว่ากลัวลำบากบ้าง กลัวยากจนบ้าง กลัว
ความทุกข์ต่างๆ บ้าง จึงเป็นเหตุให้กระทำทุจริต แต่คนกล้าหาญ
แม้ว่าจะลำบาก แม้ว่าจะขัดสน แม้ว่าจะยากจน ก็จะไม่ทำทุจริตคน
แกล้วกล้านั้นจึงกล้าละเว้นทุจริตได้โดยไม่กลัวความลำบากต่างๆ
คนทำชั่วเป็นคนไม่ฉลาด บุคคลใดก็ตามที่ทำชั่ว บุคคลนั้นเป็นผู้
ไม่ฉลาด
พูดมากนี้ พูดอะไรมาก ถ้าเป็นกุศลจิต ยิ่งมากยิ่งดี ใช่ไหม หรือแม้แต่
พระมหากรุณาของพระผู้มีพระภาค ที่ทรงแสดงธรรมมิใช่น้อยเลย
แต่เพื่อประโยชน์
ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แน่ ที่สอนให้ไม่รู้
เข้าใจถูกเห็นถูกเมื่อใด ไม่ใช่พาลเมื่อนั้น ถ้าไม่เข้าใจ ก็เป็นพาล
จะค่อยๆ เป็นบัณฑิตได้อย่างไร ถ้าไม่รู้ว่าตนเองเป็นพาล เพราะมากไป
ด้วยอกุศลจริงๆ
เพราะเป็นกุศล จึงจะสุจริตได้
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้
ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นสภาพธรรมที่ขัดเกลาความติดข้องและ
ลดความเดือดร้อนลง
ประพฤติชั่ว ประพฤติทุจริต จะได้ผลเป็นกุศลวิบาก ย่อมเป็นสิ่งที่เป็น
ไปไม่ได้เลย
วิธีที่ดีที่สุด ไม่ใช่สอนให้บุคคลเชื่อหรือพึ่งสิ่งอื่นที่เป็นวัตถุที่เข้าใจว่าเป็น
ของขลัง แต่ให้สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นกรรม
และเป็นวิบากได้ถูกต้อง
ความเห็นผิดมีมากมายหลายประการ ซึ่งก็จะเป็นเหตุให้มีการปฏิบัติผิด
เป็นสีลัพพตปรมาสอยู่เรื่อยไป จนกว่าจะมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกเกิดขึ้น
ขณะนี้ เป็นธรรม ไม่ว่าจะฟังพระธรรมในส่วนใดก็ตาม ก็เพื่อจุด
ประสงค์เดียว คือ เข้าใจธรรมในขณะนี้
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อใคร? เพื่อผู้ฟังจะได้เข้าใจ
ถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง
ลืมอะไร บ่อยๆ ? ลืมว่าขณะนี้เป็นธรรม เพราะไม่ระลึกรู้ลักษณะของ
สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น สติเกิดระลึก
รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริง
ความจริง ย่อมเป็นจริงโดยตลอด ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ถ้าไม่มีปัญญา จะไม่สามารถเข้าใจถึงความเป็นพาล และ ความเป็น
บัณฑิตได้เลย
เมื่อเข้าใจธรรม ชีวิตก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นคล้อยตามความ
เข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น
ธรรมที่เป็นอกุศล มี โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เป็นบัณฑิตไม่ได้
แต่ละคนมีความประพฤติเป็นไปตามการสะสม ถ้าเราโกรธเขา
เราก็แย่แล้วในขณะนั้น ถูกอกุศลกลุ้มรุมครอบงำ ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย
อวิชชาเกิดเมื่อใด เป็นอกุศล เมื่อนั้น
อกุศล ไม่ถูกต้อง สิ่งที่ถูกต้อง ต้องเป็นกุศลธรรม เท่านั้น
พระธรรมทีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเสมือนพระองค์ทรงเตือนเรา
เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์
มีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อเข้าใจธรรม นี้คือ ประโยชน์สูงสุด ซึ่งเริ่มต้นได้ในขณะนี้
ปัญญา ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเลย ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เมื่อใดก็ตาม.
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๑๘
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
@ ก่อนได้ฟังพระธรรม ไม่มีใครที่จะสามารถเข้าใจได้นะคะ ว่าขณะนี้เป็นแต่เพียง
ธรรมะแต่ละลักษณะจริงๆ เพราะฉะน้ัน ในขณะที่กำลังพูดถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้
น่ะค่ะ ผู้ที่อบรมเจริญปัญญามาแล้ว ก็สามารถที่จะรู้ลักษณะของธรรมะแต่ละอย่าง
แล้วก็หมดความสงสัยแล้วก็ละการที่เคยติดข้องในสภาพธรรมนั้นๆ ด้วยความสงสัย
ด้วยความไม่รู้นะคะสภาพธรรมะ ก็ปรากฏตามความเป็นจริง จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจจ
ธรรมสี่ คือ สิ่งที่มีในขณะนี้เอง
@ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่ากำลังมีอยู่นะคะ แต่กว่าจะรู้ลักษณะของสิ่งที่มีอยู่
จริงๆ นี่น่ะค่ะ ก็ต้องเข้าใจเพิ่มขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย
@ ตราบใดที่ยังไม่ศึกษาพระธรรมชื่อว่าผู้นั้นยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้าและไม่เข้าใจ
พระธรรม ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ต้องศึกษา ต้องฟัง ถึงแม้ว่าจะยาก
เมื่อเป็นสิ่งใหม่ก็ต้องค่อยๆ ฟัง เพื่อให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ควรเห็นประโยชน์ของปัญญา
ผู้มีทรัพย์มากก็ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องมีความทุกข์ ไม่มีใครพ้นไปได้เลย
@ ชีวิตของแต่ละท่านก็ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนถึงขณะนี้ก่อนจะถึงวัยนี้ ก็ไม่รู้ว่าถึงวัยนี้
ในลักษณะใด สำหรับพรุ่งนี้ก็มืดสนิท ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดบ้างแน่นอน ถ้าศึกษาพระธรรม
ก็จะเริ่มเข้าใจทุกอย่างตรงตามความเป็นจริงรู้เหตุของความทุกข์ สุข จนกระทั่งสามารถ
ที่จะดับเหตุของความทุกข์ สุขนั้น ได้ตามพระธรรมนี่คือ..ประโยชน์ของการฟังพระธรรม
แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น
@ บุคคลผู้ที่จะข้ามกิเลสดุจห้วงน้ำใหญ่ได้อย่างเด็ดขาดนั้น ต้องถึงความเป็น
พระอรหันต์ ดังนั้น จึงไม่มีทางอื่นที่จะทำให้เป็นผู้หมดจดจากกิเลส ไม่จมลงอยู่
ในกิเลสดุจห้วงน้ำใหญ่อีกต่อไป นอกจากการอบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสภาพ
ธรรมตามความเป็นจริง เพราะนอกจากปัญญาแล้ว ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะมาดับกิเลส
ได้เลย เพราะฉะนั้น จึงควรที่จะเป็นผู้เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา ซึ่งต้องเริ่ม
อบรมเจริญจากการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมในชีวิตประจำวัน สะสมความเข้าใจ
ถูกเห็นถูกไปตามลำดับ
@ ขณะนี้ที่ได้ยินได้ฟังนะคะ พระผู้มีพระภาคฯ จะไม่ตรัสอย่างอื่นนอกจากสภาพธรรมะ
ที่เกิด เกิดแล้วก็ดับ อนิจจัง ไม่เที่ยงนะคะ สภาพที่ไม่เที่ยง เป็นสภาพธรรมะที่ควรจะ
ยึดถือติดข้องไหม? เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป ปรากฏแล้วก็หมดไป ปรากฏแล้วก็หมด
ไปแสนสั้นทุกขณะ ตามกาละ โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่สัตว์
ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเป็นธรรมะจริงๆ นะคะ เกิดเพราะเหตุปัจจัย เป็นสภาพธรรมะ
อย่างนั้น อย่างนั้นเพียงชั่วคราว แล้วก็หมดสิ้นไปตลอดเวลา.
@ อยู่ไปโดยไม่รู้ว่าวันไหน จะมีความทุกข์อย่างมากจะป่วยเจ็บไข้อย่างหนัก จะ
พิการ จะสูญสิ้นทรัพย์สมบัติหมดเมื่อไม่รู้สาเหตุ ความทุกข์ก็ย่อมมากถ้าสามารถ
เข้าใจธรรมซึ่งเป็นเหตุเป็นผลจะเห็นพระคุณของพระธรรม
@ เรื่องกรรม และ ผลของกรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด ในชีวิตประจำวัน แต่ละบุคคล
ย่อมมีทั้งกรรม (กุศลกรรม และอกุศลกรรม) และได้รับผลของกรรม เมื่อได้ศึกษาก็จะมี
ความเข้าใจว่า ขณะใดเป็นกรรม ขณะใดเป็นผลของกรรม ธรรมควรค่าแก่การศึกษา
อย่างยิ่ง
@ เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จนกระทั่งมีความเข้าใจในเหตุและผลแล้วย่อมจะเป็นผู้ที่เบาสบาย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เพราะเหตุว่า การที่จะมีทุกข์ มี
สุขในแต่ละวันหรือในวันหนึ่งวันใด ที่จะได้รับสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หรือไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจนั้น ก็เป็นไปตามเหตุ คือ กรรมที่ตนได้กระทำแล้ว ทั้งนั้น กรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อได้โอกาสที่จะให้ผลเกิดขึ้น ผลก็เกิดขึ้น เป็น
ไปตามความสมควรแก่เหตุ ไม่มีใครทำให้ ไม่มีใครเป็นผู้บงการ.
ขออนุโมทนา