ขอถามเรื่องขันธ์ 5 ด้วยครับ

 
ศึกษาธรรม1
วันที่  2 ธ.ค. 2556
หมายเลข  24114
อ่าน  4,468

ขันธ์ หมายถึง สภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป
ขันธ์ มี ๕ คือ รูป เวทนา
สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ยกตัวอย่าง เช่น เพียงแค่เห็นขณะเดียว (จักขุวิญญาณ เกิดขึ้น) มีขันธ์ ๕ ครบเลย กลคือ สิ่งที่ปรากฏทางตา (สี) กับ จักขุปสาทะ (ตา) เป็นรูปขันธ์ เวทนาที่เกิดร่วมกับจิตเห็น เป็นเวทนาขันธ์ สัญญาที่เกิดกับจิตเห็น เป็นสัญญาขันธ์ เจตสิกอีก ๕ (ผัสสะ เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ และมนสิการะ) เป็นสังขารขันธ์ จิตเห็น เป็นวิญญาณขันธ์

กระผมอ่านข้อความด้านบนแล้วเข้าใจว่า จิตที่เกิดขึ้นแต่ละขณะ จะเกิดพร้อม กันทั้ง 5 เลยหรือครับ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) สมมติเราได้ยินเสียงอะไรสักอย่าง แสดงว่า เสียงมาที่หู และก็รวมไปหมดทั้ง 5 อย่างในขณะเดียวกัน ลักษณะอย่างนี้ สามารถอธิบายได้ว่า ไม่ว่าอะไรที่ผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง 6 (หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ) มันจะเกิดขึ้นเป็นขณะเดียวกัน แต่ละขณะจะรวมทั้ง 5 อย่างเลยหรือเปล่าครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ศึกษาธรรม1
วันที่ 2 ธ.ค. 2556

หมายความว่าเกิดขึ้นมาพร้อมกันทั้ง 5 อย่างก็ดับไปพร้อมกันทั้ง 5 อย่าง?

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 2 ธ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ซึ่งความหมายของคำว่า ขณะเดียวหมายถึง ช่วงระยะเวลาหนึ่งสั้นๆ ซึ่ง ก็จะมีขันธ์ 5 เกิดขึ้น คือ ขณะที่จิตขณะหนึ่งเกิดขึ้น เช่น ขณะที่เห็นเกิดขึ้น ขณะนั้น ก็มีรูปเป็นอารมณ์ของจิตเห็นด้วย คือ มี สีเป็นอารมณ์ และ สีนั้นเกิดขึ้น จึงปรากฎเป็นอารมณ์ของจิตเห็น จึงเป็นรูปขันธ์ และ ก็มี จิตเห็นเกิดขึ้น เป็น วิญญาณขันธ์และก็มี เวทนา ความรู้สึกที่เฉยๆ เกิดขึ้น ด้วยพร้อมกันกับจิตเห็น เป็นเวทนาขันธ์ และมี สัญญาเจตสิก ที่จำ ในขณะนั้นเป็นสัญญาขันธ์ทีเ่กิดพร้อมกัน และ มีสังขารขันธ์ คือ ผัสสะ เจตนา เป็นต้น ที่เกิดพร้อมกันกับจิตเห็น รวมความว่าจิตเพียงขณะเดียว มี จิตเห็น เป็นต้น ก็มี รูปขันธ์ที่เป็นอารมณ์ ที่เกิดดับ ตามสมุฏฐานของเขาเกิดขึ้น มี เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณขันธ์ในขณะนั้นได้ครับ

เชิญอ่านคำบรรยายท่านอ.สุจินต์ เพิ่มเติมเรื่องขันธ์ได้ดังนี้ ครับ

แม้แต่คำว่าขันธ์ คำเดียว ขันธะ ก็หมายความถึงสิ่งที่เกิด มีปัจจัย เกิดขึ้นแล้วดับไป ใครจะรู้หรือไม่รู้ ธัมมะ ก็เป็นอย่างนี้ แต่จากการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี และได้ทรงตรัสรู้ ความจริง นะคะก็แสดง ความจริง ของ ทุกอย่าง ที่มี ซึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ซ้ำกันเลยมีปัจจัย เกิดขึ้น แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้น จะเหมือนกับ สิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับไป ได้ไหมก็ไม่ได้ ใช่ไหมคะ แต่ละอย่างที่เกิดขึ้น เป็นหนึ่ง แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา นี่ต้องเกิดแน่นอนค่ะ เพราะ ปรากฏ ว่า มีจริงๆ นะคะ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เห็น มีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก้ดับไป ทั้งหมดเป็นขันธ์ สภาพธัมมะที่มีจริง ที่เกิดดับ แต่ละหนึ่งๆ ๆ ขณะนี้เป็นอย่างนี้หรือเปล่าคะ ฟังธัมมะ เข้าใจ สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังฟังไม่ใช่ไปไม่มี แล้วก็ไปคิดถึง ให้เข้าใจนะคะ แต่ในเมื่อสิ่งนี้มีจริงๆ กำลังปรากฏแล้ว ก็ได้ฟังความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ก็เริ่มที่จะเข้าใจความจริง ว่า สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้ เพราะเหตุว่า พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดง จนกระทั่งคนที่ได้เข้าใจธัมมะนะคะ สามารถที่จะรู้แจ้งความจริงนี้ได้เป็น สาวก คือ ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น จากการที่ไม่รู้เลยว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ที่กำลังมีในขณะนี้ ก็เริ่มที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เป็น สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ เพื่อให้คนที่กำลังฟังในขณะนี้นี่ค่ะ รู้ตาม ไม่ใช่คิดเองนะคะ แต่รู้ตาม แม้แต่เพียงการเริ่มที่จะเข้าใจว่า ขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นเพียงสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวนะคะ ในบรรดาธัมมะทั้งหมด ในบรรดาขันธ์ทั้งหลาย นี่ค่ะ มีสิ่งนี้สิ่งเดียว ที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ ก็ลองคิดดูนะคะ แต่ละคำเนี่ยเป็นความจริงไหม เกิดแล้วก็ดับไป ไม่ได้มีเหตุอยู่ตลอดเวลา แม้ ธาตุรู้ คือ จิตที่เกิดขึ้นเห็น เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างนี่นะคะ มีปัจจัยที่จะเกิดแล้วก็ดับอยู่ตลอดเวลา เพราะความไม่รู้นะคะ จีงมีความติดข้อง คือ โลภะ นะคะ ความพอใจ ในสิ่งที่ปรากฏ เพียงปรากฏให้เห็น ให้ติดข้อง แล้วก็หมดไปได้ยินเสียงนะคะ ชอบเสียงไหมคะ เสียงหมดแล้วค่ะ ชอบแล้วมีประโยชน์อะไร กับสิ่งที่เพียงปรากฏ ให้ชอบ ให้พอใจนะคะ ติดข้อง แล้วเสียงนั้น ก็หายไปในสังสารวัฏฏ์ ไม่กลับมาอีกเลย ทุกขณะเป็นอย่างนี้ค่ะ เพราะเหตุว่า แม้แต่

คำว่า "สังสารวัฏฏ์" ก็หมายความถึงสภาพธัมมะ ซึ่งเกิดดับ สืบต่อ เป็นไป ไม่สิ้นสุด นะคะเพราะฉะนั้น การฟังธัมมะ ก็คือว่า ให้ทราบว่า ฟังเมื่อไหร่ คือ เริ่มเข้าใจ ความจริง ของสิ่งที่มีในขณะนี้ จนกว่าเริ่มเข้าใจ แต่ละคำด้วย เช่น คำว่า "ขันธ์" หมายความถึง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม นะคะ ที่เกิดแล้วก็ดับ แต่มีปัจจัยเกิด มิฉะนั้นก็เกิดไม่ได้ เกิดแล้วจะไม่ดับก็ไม่ได้ เกิดแล้วก็ต้องดับไปใครจะรู้หรือไม่รู้ ธัมมะก็เป็นอย่างนี้ แต่ละขันธ์ แต่ละขันธ์

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 2 ธ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ทุกขณะไม่พ้นไปจากขันธ์เลย (ขันธ์ คือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เมื่อเกิดแล้วก็ดับไปไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เป็นสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นตัวตน) ที่จะเป็นประโยชน์แล้ว ความเข้าใจมาก่อน ชื่อมาทีหลัง เพราะจริงๆ แล้ว ขันธ์ มีจริงๆ และมีจริงในขีวิตประจำวันในขณะนี้ด้วย ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ก็จะไม่สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้เลย ไม่ว่าจะยกสภาพธรรมใดขึ้นมากล่าว ก็ไม่พ้นจากขันธ์เลย ไม่ว่าจะเป็นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก กุศล อกุศล เป็นต้น ล้วนมีจริงๆ เกิดแล้วดับไป ทั้งหมด เป็นขันธ์ ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 2 ธ.ค. 2556

ขันธ์ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นนามธรรม รูปธรรม เกิดและดับไป ทุกขณะ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
BudCoP
วันที่ 4 ธ.ค. 2556

วนฺทามิ สทฺธมฺมํ

ขอกราบกรานพระสัทธรรม

สวัสดี ครับ ขอร่วมสนทนาด้วยคนนะ ครับ

ใช่ และ ไม่ใช่ ครับ

ที่ว่า ใช่ คือ ในปัญจโวการภพ โดยทั่วไป ขันธ์ต้องเกิดพร้อมกันทั้ง 5 ขันธ์ เว้นแต่ท่านผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติจะเหลือเพียงรูปขันธ์ ครับ

แต่รายระเอียดของแต่ละขันธ์อาจจะไม่เท่ากันในแต่ละขณะ เช่น รูปขันธ์ บางทีก็มีลหุตารูป บางทีก็ไม่มี ครับ

ที่ว่า ไม่ใช่ คือ รูปขันธ์ กับ นามขันธ์ เกิดดับไม่พร้อมกัน ครับ นามเกิดดับ 17 ขณะ เท่ากับ รูปทั่วไปเกิดดับ 1 ขณะ ดังนั้นรูปที่เกิดดับช้ากว่านาม ก็จะเกิดดับไม่พร้อมกับนาม ครับบางทีเกิดพร้อม ดับทีหลัง บางทีเกิดก่อน ดับพร้อม บางทีเกิดไม่พร้อม ดับไม่พร้อม แต่บางรูปที่เกิดพร้อมดับพร้อมก็มีครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 4 ธ.ค. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ศึกษาธรรม1
วันที่ 6 ม.ค. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Tommy9
วันที่ 29 ต.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 8 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Sea
วันที่ 10 มี.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ