ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๖

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  7 ธ.ค. 2556
หมายเลข  24145
อ่าน  1,787

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา

ชมรมพุทธศาสน์วังพญาไท โดยท่าน พลโท นายแพทย์ กฤษฎา ดวงอุไร ประธานชมรม

ได้กราบเรียนเชิญ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ไปสนทนาธรรมเนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งชาติ

ณ ห้องประชุมใหญ่ชั้น ๑๐ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ

ถนนราชวิถี กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.

โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังการสนทนาธรรม เป็นจำนวนมากเช่นเคย

โดยทางชมรมพุทธศาสน์ ได้จัดเตรียมน้ำดื่มไว้บริการแก่ผู้เข้าร่วมรับฟังการสนทนา

และทางมูลนิธิฯ ก็ได้นำหนังสือธรรมะไปแจก และ นำแผ่นซีดีและเอ็มพีสามไปบริการด้วย

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาธรรม ในวันนั้นมาฝากให้ทุกท่านได้พิจารณา

ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวย้ำถึงความเข้าใจ การเห็นประโยชน์ของการศึกษาธรรมะ

และ ความหมายของคำว่า อวิชชา ความไม่รู้ ว่า ไม่รู้อะไร? อย่างไร?

อารัมภกถา

(ข้อความโดย อาจารย์ธนิต ชื่นสกุล)

การฟังพระธรรม เป็นเรื่องละความไม่รู้ สิ่งที่ไม่เคยรู้

ผู้ที่มีโอกาสมาฟัง ย่อมแสดงถึง การที่ได้ฟังพระธรรมมาในอดีตด้วย

การฟังพระธรรม ถ้าเอาคำมาจำ จะไม่เท่ากับความเข้าใจ

ถ้าไม่เริ่มเข้าใจให้ถูกต้อง ก็จะถูกจูงไปตามเสียง

เวลาที่มีค่าที่สุด คือ ได้ฟัง ถ้าไม่ได้พบ ไม่ได้ฟัง มืดสนิท

พระธรรม เพื่ออนุเคราะห์ ผู้ที่ได้ฟัง บุคคลที่สะสมมา พร้อมทันที ที่ได้ฟังว่าเป็นธรรมะ

ขณะที่กำลังฟัง ก็เพื่อให้เข้าใจขึ้น ชัดเจนขึ้น และ ถูกต้องขึ้น

ฟังให้เข้าใจจริงๆ จะรู้ถึงความละเอียดยิ่งขึ้น

การสนทนากัน ทำให้เข้าใจเพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น

ความเข้าใจ ค่อยๆ สะสมไป ทีละเล็ก ทีละน้อย

ขั้นฟังเรื่องปรมัตถธรรม ยังไม่ใช่ขั้นรู้ตัวจริง ของธรรมะ

ท่านอาจารย์ คงไม่ลืม นะคะ ทุกคำ มีค่ายิ่ง

เพราะเหตุว่า มาจากการที่ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดงความจริง

ซึ่งในชีวิต ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏในขณะนี้ได้

ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม

เพราะฉะนั้น ไม่ประมาท แม้ในการฟัง ว่า

กำลังฟัง คำที่ลึกซึ้ง เพราะ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้เอง

แต่กว่าจะเข้าใจแต่ละคำได้ เช่น ธรรมะทั้งหลาย เป็นอนัตตา

อนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยง จึงไม่ใช่ใคร และ ไม่ใช่ของใคร

ด้วยความเข้าใจว่าแต่ละคำ ถูกต้อง เป็นความจริง ที่สมควรที่จะได้เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น

หรือว่า จะปล่อยให้ผ่านไป เผินๆ

โดยที่ได้ยิน ได้ฟัง แล้วก็รู้ว่า ทุกอย่าง ไม่ใช่ของใคร เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

เกิดมาได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้เรื่องโลกนี้ เหตุการณ์ในโลกนี้ทุกอย่าง

แล้วก็จากไป ไม่เหลือเลย

เพราะเหตุว่า ต่อจากขณะสุดท้ายของชีวิตนี้ ก็เป็นชีวิตใหม่ เป็นคนใหม่ เป็นเรื่องใหม่

เพราะฉะนั้น แต่ละขณะ ให้ทราบว่า เมื่อได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว

ก็จะเห็นคุณค่าอย่างยิ่ง ของการที่จะรู้ความจริง

ความจริง เป็นสิ่งที่รู้ยาก

แต่ขณะนี้ ก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่ได้ยินได้ฟังว่า

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งควรที่จะได้รู้ด้วย

แต่ต้องอาศัยการฟัง และ การไตร่ตรอง เพราะเหตุว่า เป็นสิ่งที่รู้ยาก

เพราะฉะนั้น เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว โอกาสที่ดี ก็คือว่า ได้สนทนาธรรม

เพื่อที่จะได้เข้าใจ ลึกซึ้งขึ้น ในสิ่งที่ได้ฟัง

เพราะเหตุว่า พระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้มาก ๔๕ พรรษา

แต่ละคำ เข้าใจแค่ไหน?

จึงไม่ประมาท ในการที่จะรู้ว่า กว่าจะได้เข้าใจ "คำ" ที่ได้ยิน ลึกซึ้งขึ้น

ว่า หมายความถึง ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

ก็ต้องอาศัยการฟัง ด้วยความเคารพ คือ ไตร่ตรอง พิจารณา เป็นความถูกต้อง

เพราะเหตุว่า พุทธประสงค์ ที่บำเพ็ญพระบารมี

ก็เพื่ออนุเคราะห์ ให้คนอื่น ได้เข้าใจความจริง ของชาติหนึ่ง

ซึ่งเกิดมา แล้วก็มีทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ปรากฏในแต่ละวัน แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่เหลือเลย

จากโลกนี้ไปแล้ว เหตุการณ์ทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ได้ติดตามไปเลย

เป็นคนใหม่ เรื่องใหม่ โลกใหม่

แต่ สิ่งที่สะสม ทุกขณะ ในโลกนี้ เป็นสิ่งซึ่งไม่รู้ความจริง ของสิ่งที่ปรากฏ

จึงมีความติดข้อง ในเรื่องราว ของสิ่งที่กำลังปรากฏมากมาย

ที่ใช้คำว่า "โลภะ" คือ ความติดข้อง

"โทสะ" คือ ความขุ่นเคืองใจ เมื่อได้ประสบกับสิ่งที่ ไม่น่าพอใจ

ทั้งหมดมาจาก ความไม่รู้ความจริง ตั้งแต่เกิดจนตาย

ก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทุกชาติไป

เพราะฉะนั้น โอกาสของชาติหนึ่งชาติใด ที่มีโอกาสที่จะได้เข้าใจความจริง

ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง

แต่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เมื่อได้ฟังพระธรรม โดยไม่ประมาท

แต่ละคำ ไม่ใช่ผ่านไป เหมือนกับรู้แล้ว

เช่น คำว่า "ธรรมะ"

ได้ยินได้ฟังบ่อย เดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ ที่กำลังฟัง เพื่อเข้าใจขึ้น ในสิ่งที่มีจริง

ซึ่งธรรมะ หมายความถึง สิ่งที่มีจริง แต่หลากหลายมาก

เกิดขึ้น แล้วก็ผ่านไป โดยไม่รู้เลย ตลอดเวลา

จนกว่าจะได้ฟังว่า

ขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริง แต่ว่า ไม่สามารถที่จะรู้ได้

และ ถ้าจะศึกษาธรรมะ ก็คือว่า ศึกษาให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ นั่นเอง

พลโท นายแพทย์ กฤษฎา ผมขออนุญาตเรียนถามอาจารย์ครับว่า

ความไม่รู้ ที่เรียกว่า อวิชชา ตามปฏิจจสมุปบาท

"ไม่รู้" นี้มาจากไหนครับ?

เริ่มต้นด้วย "ไม่รู้" แล้วก็ไปเรื่อยๆ ตรง "ไม่รู้" นั้นมาจากไหนครับ?

ท่านอาจารย์ ขณะนี้ มีสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว นะคะ "ไม่รู้" ถูกไม๊คะ?

"เห็น" เกิดแล้ว ไม่รู้

ปฏิจจสมุปบาท หมายความถึง ธรรมะ ที่อาศัยกันเกิดขึ้น

ถ้าไม่มีธรรมะเลย ก็จะไม่มีอะไรปรากฏเลยทั้งนั้น

แต่ธรรมะที่จะเกิดได้ ไม่ใช่ว่า ใครสามารถที่จะบันดาลได้

แต่ว่า แต่ละหนึ่งธรรมะที่เกิด ผู้ที่ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงว่า ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง

ซึ่งก่อนที่จะรู้ถึงปัจจัย ซึ่งทำให้สภาพธรรมะเกิด

ก็ต้องรู้ "ลักษณะ" ของสภาพธรรมะ "แต่ละหนึ่ง" ก่อน

แล้วถึงจะรู้ละเอียดขึ้น ว่า "หนึ่ง" นั้น อาศัยปัจจัยอะไร เกิดขึ้น

แต่สิ่งหนึ่ง ซึ่งได้กล่าวถึงอันดับแรก ก็คือ อวิชชา ความไม่รู้

ไม่ใช่กล่าวลอยๆ "ความไม่รู้"

แต่ต้องพิจารณาว่า ไม่รู้อะไร?

ต้องมีสิ่งที่กำลังไม่รู้ ไม่ใช่เพียงแต่ ไม่รู้เฉยๆ

แต่ มีสิ่งที่กำลังไม่รู้

ขณะนี้ "เห็น" แล้วไม่รู้

เกิดแล้วดับ ไม่ใช่ "ได้ยิน"

ก่อนได้ยิน ไม่มีได้ยิน แล้วก็มี "ได้ยิน" เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย

แล้ว "ได้ยิน" ก็ดับไป

เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่ง คือ แตกแยกย่อย ชีวิต ซึ่งคิดว่าเป็นเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย

เหลือเพียง แต่ละ "หนึ่งขณะ" แล้วก็ "หนึ่งธรรมะ" จริงๆ

จึงสามารถที่จะรู้ได้ ในความหมาย ของคำว่า "อนัตตา"

ไม่ใช่เรา เพราะว่า เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วดับไป

แต่ละหนึ่ง ถ้าไม่เกิด ก็ไม่ปรากฏ ว่ามี

แต่ขณะใด ที่ปรากฏว่ามี "สิ่งหนึ่ง" นั้นเกิด เพื่อให้รู้ว่ามี

เกิด เพื่อให้รู้ว่ามี แล้วก็ดับไป

โดยไม่รู้ความจริง

เพราะฉะนั้น การไม่รู้ความจริง ก็สะสมไป ตามสิ่งใดก็ตาม ที่เกิด ปรากฏ สั้นมาก

เพื่อให้ ติดข้อง เท่านั้นเอง

เพื่อให้ ไม่รู้ แล้วก็ ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

ชีวิตจริงๆ เป็นอย่างนี้

ไม่รู้โดยตลอด ตั้งแต่เกิด แม้ในขณะที่ กำลังเห็น

"เห็น" เกิดขึ้น ให้รู้ว่ามี

แต่ "ไม่รู้" ว่าเห็นเกิด แล้วดับ

เพราะฉะนั้น "เห็น" เกิดเพื่อความติดข้อง และ ความไม่รู้ และ

ยึดถือ เห็น ว่า "เป็นเรา"

เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ ที่จะเป็นประโยชน์จริงๆ ก็คือ

ศึกษา ทีละคำ

เวลากล่าวถึง "เห็น" กำลังเห็น แล้วก็เห็นมาแล้ว มากด้วย

แล้วก็ ไม่รู้ความจริงของ "เห็น"

เมื่อไม่รู้ความจริงของ "เห็น" ขณะนี้ ก็มีปัจจัยที่ สภาพธรรมะอื่น เกิดต่อ

โดย "ความไม่รู้" นั่นเอง

เพราะ "ไม่รู้" นั่นแหละ เป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้ "สภาพธรรมะ" เกิดขึ้น

แต่ทรงแสดง "ปัจจัย" คือ สภาพธรรมะ ที่สนับสนุน เกื้อกูล อุดหนุน อาศัยกัน

ทำให้สภาพธรรมะหนึ่ง เกิดขึ้นได้ ละเอียดมาก

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่มีแต่เฉพาะ "ความไม่รู้" อย่างเดียว "สภาพธรรมะ" มีมาก

การศึกษาธรรมะ ต้องเริ่มจาก เป็นผู้ที่ไม่รู้

รู้อย่างอื่น รู้มามาก

แต่ว่า รู้สิ่งที่กำลังปรากฏนี้ไม่ได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม

เพราะฉะนั้น บุคคลใดก็ตาม ซึ่งอาจจะเข้าใจว่า เป็นผู้รู้

สามารถศึกษา และ ทำสิ่งต่างๆ ซึ่งคนอื่นชมว่า เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์

แต่ว่า ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นๆ ไม่สามารถที่จะเห็นถูก เข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้

เพราะฉะนั้น เป็น อวิชชา ความไม่รู้

ต้องกล่าวด้วย

"ไม่รู้ ในอะไร?"

ไม่รู้ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ

"กำลังเห็น" ก็ไม่รู้ จึงเข้าใจว่า "เราเห็น"

"กำลังได้ยิน" ก็ไม่รู้ จึงเข้าใจว่า "เราได้ยิน"

แต่ถ้าไม่ได้ยิน ได้ยินไม่เกิด จะมี "เราได้ยิน" ที่ไหน?

ถ้าเห็นไม่เกิด ในขณะนี้ ก็จะมี "เราเห็น" ไม่ได้

เพราะฉะนั้น การที่สิ่งใด สิ่งหนึ่ง เกิดขึ้น แล้วไม่รู้

ก็จะทำให้ "ยึดถือ" สภาพธรรมะ ซึ่งเกิดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีก "เป็นเรา"

ไม่ว่าสภาพธรรมะใดๆ เดี๋ยวนี้ เกิดแล้วสืบต่อ โดยการเกิดดับ แต่ไม่ปรากฏการเกิดดับ

เพราะเหตุว่า เร็ว สุดที่จะประมาณได้

เกิดแล้วดับ แต่ก็มีสภาพธรรมะอื่น เกิดสืบต่อสนิท

จนไม่รู้ว่า "เห็น" ขณะนี้ ไม่ใช่ "ได้ยิน" ไม่ใช่ "คิดนึก"

ก็เป็นสิ่งซึ่ง กว่าจะเข้าใจได้จริงๆ ในแต่ละคำ ก็ต้องเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์

ว่าสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง เป็นความจริงไหม?

เพราะเหตุว่า มีปัจจัยให้เกิดเป็นคนนี้

แต่จะเป็นคนนี้ตลอดไปได้นานเท่าไหร่ ก็ตามเหตุ ตามปัจจัย

และ คนนี้ แต่ละหนึ่ง เกิดแล้ว เห็นอะไรบ้าง? ได้ยินอะไรบ้าง? คิดอะไรบ้าง?

เมื่อวานนี้ หมดไปแล้ว เมื่อเช้านี้ ก็หมดไปแล้ว

เท่ากับ เกิดมา ได้เห็น ได้ยิน คิดนึก รู้เรื่องรู้ราว รู้เหตุการณ์ต่างๆ

แล้วก็จากโลกนี้ไป

แล้วก็ลืมหมด

ชาติก่อน ลืมหมดเลย ชาตินี้ก็เหมือนกัน

พอถึงชาติหน้า ก็ ลืมหมด

เพราะฉะนั้น เกิดมาเพื่ออะไร?

เพื่อไม่รู้ แล้วก็เพื่อติดข้อง แล้วก็เพื่อที่จะเกิดต่อไป ในสังสารวัฏฏ์ ตราบใดที่ยังไม่รู้

ก็เป็นแต่ละคำ ซึ่งแม้แต่ "ความไม่รู้" ก็ต้องตรง

แล้วรู้แล้วหรือยัง?

กำลังเห็น รู้แล้วหรือยัง? กำลังได้ยิน รู้แล้วหรือยัง?

รู้แล้วหรือยัง? ว่ากำลังคิด?

เกิดแล้ว เพราะเหตุปัจจัย ทั้งหมด เพราะว่า แต่ละคน ก็คิดไม่เหมือนกัน

เปลี่ยน "ความคิด" ไม่ได้เลย

ทุกอย่างเกิดแล้ว ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้

ต้องตรงกับคำว่า ธรรมะทั้งหลาย เป็นอนัตตา

ไม่ว่าคำอะไร เรื่องอะไร เมื่อไหร่ ก็คือ เป็นธรรมะ ซึ่งเป็นอนัตตา

อวิชชา ก็เป็นอนัตตาด้วย

บางคนก็สงสัย เดี๋ยวนี้ "อวิชชา" อยู่ที่ไหน?

เดี๋ยวนี้ "คิด" อยู่ที่ไหน?

แต่ว่า ขณะที่เห็น ขณะนี้เอง "เห็น" แล้ว "ไม่รู้"

เพราะฉะนั้น อวิชชา ก็อยู่ที่ไม่รู้ความจริงของเห็น

ขณะที่ "ได้ยิน" เกิดแล้วดับแล้ว "อวิชชา" ก็ไม่รู้ความจริงของ "ได้ยิน"

เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ อวิชชา มากแค่ไหน?

จนกว่าจะมีการฟัง แล้วก็ เริ่มเข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย

อวิชชา ความไม่รู้ ก็จะค่อยๆ ละคลายลง

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธา ของชมรมพุทธศาสน์วังพญาไท

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 7 ธ.ค. 2556

ภาพสวยงาม ธรรมเป็นเลิศ

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของชมรมพุทธศาสน์วังพญาไทขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่งและ ขออนุโมทนาในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
papon
วันที่ 7 ธ.ค. 2556

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เข้าใจ
วันที่ 7 ธ.ค. 2556

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
peem
วันที่ 7 ธ.ค. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เซจาน้อย
วันที่ 7 ธ.ค. 2556

"ต้องฟังจนกว่าจะเข้าใจว่าไม่มีเรา"

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง


ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของชมรมพุทธศาสน์วังพญาไทขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่งและ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 7 ธ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

...ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏในขณะนี้ได้

ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม

เพราะฉะนั้น ไม่ประมาท แม้ในการฟัง ว่า

กำลังฟัง คำที่ลึกซึ้ง เพราะ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้เอง...

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของชมรมพุทธศาสน์วังพญาไทขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่งและ ขออนุโมทนาในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ch.
วันที่ 7 ธ.ค. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kinder
วันที่ 8 ธ.ค. 2556
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wannee.s
วันที่ 9 ธ.ค. 2556

อนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 10 ธ.ค. 2556

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เมตตา
วันที่ 11 ธ.ค. 2556

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของชมรมพุทธศาสน์วังพญาไทขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งามและ ขออนุโมทนาในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 12 ธ.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
raynu.p
วันที่ 12 ธ.ค. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
napachant
วันที่ 16 ธ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 2 พ.ค. 2557

เป็นลาภอันประเสริฐยิ่ง ที่มีโอกาสได้รับรสพระธรรมอันบริสุทธิ์บริบูรณ์ โดยความอุปการะเกื้อกูลของ ชาว มศพ. ทุกท่าน สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
nopwong
วันที่ 6 พ.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
orawan.c
วันที่ 5 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ