ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๒๒
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ครั้งที่ ๑๒๒
[1] มารดาบิดาทั้งหลายเป็นผู้กระทำกิจอบรมสั่งสอนบุตรธิดา ส่วนการที่บุตรธิดา จะตอบแทนท่านโดยการที่ให้ท่านผู้มีศรัทธายังไม่ตั้งมั่นให้ตั้งมั่น ให้เป็นผู้ถึง พร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยจาคะ ถึงพร้อมด้วยปัญญา ก็คงต้องอาศัยกุศลจิต แล้วก็มีความอดทน มีความพากเพียรที่จะกระทำด้วยจิตที่อ่อนน้อม เคารพ เป็นกุศลจริงๆ
[2] พระรัตนตรัยทุกคนก็เข้าใจดีแล้ว ได้แก่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ซึ่งถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุเคราะห์สัตว์โลกแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดที่จะรู้หนทางที่จะประพฤติปฏิบัติดำเนินไปสู่การดับทุกข์ได้
[3] การไม่เคารพในธรรม คือ ผู้ที่สามารถจะไปฟังธรรมได้ แต่ไม่ไปสู่ที่ฟังธรรม มีจิตฟุ้งซ่าน พึงทราบว่าผู้นั้นไม่มีความเคารพในพระธรรม ถ้าเคารพจริง มีจิต ไม่ฟุ้งซ่านในขณะที่ฟังธรรม คือ ฟังธรรมด้วยความเคารพ
[4] ชีวิตประจำวันในวันหนึ่งๆ ก็มีจิตใจที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เช่นในขณะที่ จิตอ่อนโยน มีความนอบน้อมต่อผู้ที่ควรนอบน้อม ในขณะนั้นเป็นกุศล เป็นต้น
[5] สังขารธรรมทั้งหลายมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป ถ้าไม่มีปัจจัยแล้ว เกิดไม่ได้แน่นอน
[6] สังขารธรรม ได้แก่ จิต เจตสิก รูป หรือโดยย่อก็คือ นามธรรมและรูปธรรม จิต เจตสิก เกิดร่วมกันเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ น้อมไปสู่อารมณ์ จึงเป็นนามธรรม ส่วนรูปไม่ใช่สภาพรู้
[7] เมื่อกิเลสยังมี ที่ทุกคนคิดว่ายังมีตัวตน มีสัตว์ มีบุคคลอยู่เป็นตัวท่านทุกวันๆ นี้ ก็คือการเกิดขึ้นของสังขารธรรม เพราะมีเหตุมีปัจจัยจึงได้เกิดขึ้น
[8] สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดต่อไปทันที จุติจิตเกิดแล้วดับไป [หมายความถึง ความตายที่เป็นสมมติมรณะนั้น] ปฏิสนธิจิตเกิดต่อทันที เพราะเหตุ ว่ามีปัจจัยให้เกิดขึ้น แต่ละขณะสืบต่อกัน ฉันใด เวลาที่จุติจิตของชาตินี้ดับไปแล้ว กิเลสซึ่งเป็นปัจจัย ซึ่งมีอยู่ ก็เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติจิตโดยไม่มี ระหว่างคั่น
[9] วิญญาณ เกิดดับอยู่ทุกขณะในชีวิตประจำวัน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นสภาพรู้อารมณ์ เพราะฉะนั้น เมื่อยังไม่ได้ศึกษา ก็จะทำให้ ท่านเข้าใจผิดทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
[10] เรื่องของอกุศลธรรมเป็นสิ่งที่มีมาก และถ้าไม่ทราบจริงๆ ว่า ตัวท่านมีอกุศลมาก เพียงใด การที่จะละกิเลสย่อมเป็นสิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้ แล้วในวันหนึ่งๆ ก็มีอกุศลธรรมหลายประการ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่า ท่านเป็นผู้ที่ยังมีอกุศลธรรม ที่จะต้องละคลาย ขัดเกลาจนกว่าจะดับสิ้นเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด)
[11] จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นในพระวินัยปิฎกก็ดี พระสุตตันตปิฎกก็ดี พระอภิธรรมปิฎกก็ดี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมวินัยเพื่อที่จะให้บุคคลที่ยังมีกิเลส ยังมีอกุศลธรรมอย่างมากมายได้พิจารณาให้ทราบว่า ตัวท่านยังเป็นผู้ที่ยังมีกิเลส อีกมากมายเหลือเกินที่จะต้องขัดเกลา
[12] โลภะเป็นโลภะ โทสะเป็นโทสะ โมหะเป็นโมหะ
[13] โมหะหรืออวิชชา ความไม่รู้ ลึกมาก เป็นรากเหง้าทำให้สังสารวัฏฏ์เป็นไป
[14] ทางหลงมีเยอะมาก ทั้งโลภะ ความติดข้องต้องการ และ ความเห็นผิด
[15] โกรธใครแล้วไม่ลืม โกรธแล้ว โกรธอีก นี้แหละ คือ พยาปาทนิวรณ์ มีจริงๆ
[16] ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงเรื่องของอกุศลธรรมทั้งหลาย เราจะรู้ ได้อย่างไรว่า มีอกุศลมากมายแค่ไหนและจะต้องสะสมปัญญามากจริงๆ จนกว่า จะสามารถดับได้
[17] เรื่องของโลภะ โทสะ โมหะ ทั้งหมดที่ได้ยินได้ฟัง คือ ขณะนี้ ไม่พ้นเลยจาก อกุศลเหล่านั้น ตั้งแต่เช้ามาแล้ว
[18] เพิ่มขึ้นทุกวันๆ ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งเราจะต้องมีความเข้าใจให้ถูกต้องว่า อกุศลธรรม เป็นธรรม ไม่ใช่เรา
[19] ที่มีการฟังพระธรรม แสดงให้เห็นว่ามีกุศลเกิดขึ้นเป็นไปมีศรัทธาที่จะฟัง โดยที่ไม่ไปทำอย่างอื่น
[20] ความไม่รู้มีมาก พระโพธิสัตว์จึงทรงบำเพ็ญพระบารมีคุณความดีประการต่างๆ เพื่อที่จะให้เบาบางจากอกุศลจนสามารถรู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้
[21] ความไม่รู้ สะสมมามากและนานแสนนาน การที่จะรู้จนสามารถละความไม่รู้ ได้จนหมดสิ้นจะนานมากสักแค่ไหน แต่ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เมื่อมีการฟัง พระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก
[22] จากไม่มีสิ่งที่ติดข้องต้องการ แล้วก็มีขึ้น ติดข้องในสิ่งนั้น และแล้วสิ่งที่ติด ข้องนั้น ก็จากไป หมดไป เหมือนไม่เคยมี แต่โลภะความติดข้องต้องการสะสม สืบต่อไป ขาดทุน ในขณะที่อกุศลเกิด
[23] พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อุปการะเกื้อกูลให้ได้เข้าใจถูกเห็นถูก ในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง
[24] หนทางละความไม่รู้ ความเห็นผิด และ ความติดข้อง คือ ฟังพระธรรม ฟังแล้วฟังอีกๆ
[25] พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ยาก ต้องอาศัยกาล เวลาที่ยาวนานมากทีเดียว แม้เพียงการฟังให้เข้าใจ
[26] ที่พึ่งในชาตินี้ที่เกิดมาแล้วต้องตาย คือ ฟังพระธรรมแล้วมีความเข้าใจ ถูกเห็นถูก
[27] ถ้าไม่ฟังพระธรรมแล้วจะเอาปัญญามาจากไหน?
[28] เป็นบุญแค่ไหนแล้วที่ได้ฟังพระธรรม และเป็นบุญแค่ไหนแล้ว ที่ได้เข้าใจ เพราะเป็นสิ่งที่ยากมากที่จะได้ฟังพระธรรม เป็นเรื่องของการสะสมเหตุที่ดีของ ผู้นั้นจริงๆ มีศรัทธาเห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง และเป็นการยาก มากที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง
[29] ฟังพระธรรมต่อไปเพื่อจะได้เข้าใจขึ้น
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๒๑
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
"จากไม่มีสิ่งที่ติดข้องต้องการ แล้วก็มีขึ้น ติดข้องในสิ่งนั้น และแล้วสิ่งที่ติด ข้องนั้น ก็จากไป หมดไป เหมือนไม่เคยมี แต่โลภะความติดข้องต้องการสะสม สืบต่อไป ขาดทุน ในขณะที่อกุศลเกิด"
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่ทำให้ได้ฟังพระธรรมและเข้าใจในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น และขออนุโมทนากับอ.คำปั่นที่ได้บันทึกธรรมบรรยายและนำมาแบ่งปัน ทำให้สามารถอ่านทบทวนได้ง่ายขึ้นมากค่ะ