แค่หลับตาสภาพธรรมนั้นก็ไม่ปรากฏ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แค่หลับตาสภาพธรรมนั้นก็ไม่ปรากฏ หมายถึง สภาพธรรมที่ปรากฏทางตา เมื่อหลับตาสนิทจริงๆ สภาพธรรมนั้น ที่ปรากฏทางตา คือ สีก็ไม่ปรากฏแล้ว ไม่ปรากฏให้เห็นว่าเป็นสัตว์ บุคคล สิ่งต่างๆ แต่พอลืมตา ก็เห็น สี และ คิดนึกเป็นสัตว์ บุคคลสิ่งต่างๆ อย่างรวดเร็ว และ ปุถุชน ก็ยึอถือในสิ่งที่ปรากฏทางตา ว่าเป็นเรา เป็นสัตว์บุคคล และ ทุกข์เดือดร้อนกับสิ่งเหล่านั้น แท้ที่จริง เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็นเพียงสี เท่านั้น แค่หลับตา สภาพธรรมนั้นก็ไม่ปรากฏ คือ สี หรือสัตว์ บุคคล ก็ไม่ปรากฏทางตาแล้ว ครับ นี่เป็นการยกตัวอย่าง ทวารทางตา ให้เห็นในเรื่องนี้
เชิญคลิกอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ ครับ
สุ. ซึ่งตามความเป็นจริงพิสูจน์ได้แม้เดี๋ยวนี้ว่า หลับตาแล้วมีอะไรเหลือบ้าง
ผู้ถาม หลับตาแล้วมืด
สุ. ไม่มีอะไรเหลือหรือคะ
ผู้ถาม ครับ
สุ. ที่เคยยึดถือตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าในขณะที่หลับตา มีอะไรปรากฏบ้าง
ผู้ถาม ขณะที่หลับตาไม่ปรากฏ ขณะที่ลืมตาปรากฏ แล้วอุปาทานนั้นว่าเป็นของเรา
สุ. ขณะที่ลืมตา เพราะเห็นสีสันวรรณะต่างๆ ทีนี้เพื่อที่จะกันทวารทางตามิให้ปนกับทวารอื่น โดยหลับตาเสียเท่านั้นเอง เพียงหลับตาลง
ผู้ถาม ก็ไม่มีอะไร
สุ. ที่กายมีส่วนหนึ่งส่วนใดปรากฏบ้างไหมคะ
ผู้ถาม ไม่ปรากฏ
สุ. หายไปเลย
ผู้ถาม คือดำมืดไปเลย
สุ. ความจริงต้องเป็นความจริงซิคะ อันนี้ยังไม่จริงทีเดียว ถ้าหาเจอเมื่อไรก็พบความจริง
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กล่าวถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย เพราะธรรมที่ปรากฏก็ต้องเกิดขึ้นเป็นไป แม้ในขณะที่เห็นก็ต้องมีตาเป็นที่อาศัยของจิตเห็น มีสีเกิดขึ้นเป็นอารมณ์ของจิตเห็น มีเจตสิกเกิดร่วมกับจิตเห็น แต่ถ้าหลับตาก็ไม่มีอะไรปรากฏในขณะนั้น แต่ที่ละเอียดลึกซึ้งคือ ทุกขณะจะไม่ปราศจากธรรรมเลย มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ