ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๒๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ครั้งที่ ๑๒๔
[1] ไม่ควรจะลืมเลยว่า ต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน แล้ววันไหนก็ไม่ทราบด้วย แต่ว่า โดยมากทุกท่านหลงชีวิต แล้วก็ลืมเสียจริงๆ ว่าจะต้องสิ้นชีวิต ไม่ได้คิดถึงเลยว่า จะต้องจากโลกนี้ไป เดี๋ยวก็หลงไปตามรูปชั่วครู่หนึ่ง เดี๋ยวก็หลงไปตามเสียง ยังไม่ทันไรก็หลงไปตามกลิ่น หลงไปตามรส หลงไปตามโผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ลืมความจริงข้อนี้ คือ ไม่ลืมความจริงว่าจะต้องตาย แล้ว ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ท่านเจริญกุศลทุกประการ
[2] ท่านจะเห็นคุณของพระธรรม ว่า ไม่ว่าจะเป็นพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรง แสดงในสูตรไหน ด้วยเรื่องอะไร ท่านเป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่พระผู้มีพระภาค ได้ทรงแสดงไว้บ้างหรือเปล่า และจะเป็นบุคคลนั้นมากน้อยเพียงไร ถึงแม้ว่าจะ เคยเป็น ก็เปลี่ยนได้ด้วยปัญญาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เห็นความไม่มีสาระ ความไม่มีประโยชน์ในการที่จะไปจดจำหรือว่าฝังใจในความโกรธ ซึ่งเกิดขึ้นเนืองๆ บ่อยๆ ซึ่งไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไรเลย
[3] พระธรรมทั้งหมด เพื่อจะให้ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ถ้าทรงแสดง เรื่องของความโกรธ ก็ขอให้พิจารณาตัวของท่านว่า ท่านเป็นบุคคลประเภทไหน ถ้าโกรธลึก โกรธนาน ฝังใจ จดจำ ซึ่งไม่ดี ก็จะตื้นขึ้น ด้วยการที่เกิดปัญญาระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้ นอกจากนั้นไม่มีหนทางอื่น
[4] พ่อแม่มีพระคุณมากมากมาย ควรอย่างยิ่งที่จะได้กระทำคุณความดี ตอบแทนท่าน ถ้าพ่อแม่ของตนเอง ยังทำดีกับท่านไม่ได้ แล้วจะทำดีกับคนอื่นได้อย่างไร
[5] พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อุปการะเกื้อกูลให้ไม่ละเลยความดีในชีวิตประจำวัน เป็นเครื่องเตือนให้ไม่ลืมทำดี เพราะความดีนำมาซึ่งความสุข
[6] ความติดข้องต้องการ ไม่ได้ลดน้อยลงเลย แล้วจะลดน้อยลงได้อย่างไร ก็ต้องสะสมปัญญาค่อยๆ ขัดเกลาไปทีละเล็กทีละน้อย ถ้าไม่เห็นโทษของคำไม่จริง ก็จะไม่มีความละอายในการกล่าวเท็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ใครกล่าวเท็จไม่ว่าจะเป็นในเรื่องใดๆ ก็ตาม เมื่อเราต้องการความจริง ก็ต้องพูดคำจริงกับผู้อื่นด้วย คำเท็จ เป็นคำที่ไม่ควรพูดโดยประการทั้งปวง
[7] ถ้าท่านสมาคมกับความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ความเห็นถูกนั้นก็ช่วยประคับประคองท่านให้เดินหรือว่าให้ปฏิบัติในหนทางที่ถูกได้ แต่การสมาคมกับอสัตบุรุษแม้มากครั้งก็รักษาไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่ช่วยทำให้ท่านเข้าใจหนทางข้อปฏิบัติที่ถูกต้องได้เลย
[8] ถ้ามีสิ่งที่ไม่ใช่มิตรเกิดขึ้น แม้สักนิดเดียว ยังคงมีความแข่งดี แก่งแย่ง ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า ไม่ใช่เป็นมิตรที่แท้จริง แทนที่จะเกื้อกูลอุปการะส่งเสริม แต่ก็เกิดจะไปเอาชนะกันเสียแล้ว ถ้าเป็นโดยลักษณะนั้น ผู้นั้น ไม่ชื่อว่าเป็นเพื่อน
[9] ถ้ากระทำอกุศลกรรม ก็ย่อมทำให้เกิดอกุศลวิบาก ถ้าเจริญอบรมกุศลธรรมมาก ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลวิบาก เพราะฉะนั้น หนทางของสัตบุรุษและอสัตบุรุษ เมื่อไปจากโลกนี้จึงต่างกัน
[10] มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้คำที่ไม่น่าฟัง ไม่รื่นหู ไม่อ่อนโยน ถ้าท่านศึกษาปรมัตถธรรม ท่านก็จะทราบว่า ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต
[11] เคยไม่เข้าใจมามากแค่ไหน แล้วจะให้ความไม่เข้าใจหมดไปในทันทีทันใด จะเป็นไปได้อย่างไร
[12] ทุกอย่างที่เกิด ก็เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ฟังพระธรรมต่อไป เพื่อจะได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ขณะที่เห็น ไม่มีชอบ แต่ชอบเกิดหลังจากที่เห็น ได้ เป็นไปตามการสะสมของ แต่ละบุคคล เมื่อไม่มีเหตุให้เห็นเกิดขึ้น เห็นก็เกิดขึ้นไม่ได้ สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย นี้แหละ คือ สังสารวัฏฏ์ เห็น ก็เป็นหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ ได้ยิน ก็เป็นหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ เป็นต้น
[13] ความรู้ ดีกว่า ความไม่รู้ เพราะฉะนั้น จึงมีการฟังพระธรรม
[14] ทางลัด เป็นทางของใคร? เป็นทางของคนคิด แต่ไม่ใช่หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากรู้เร็วๆ อยากหาทางลัด ใครพาไป? โลภะ พาไป
[15] จะมีอายุยืนยาวเพื่อทำชั่ว หรือ จะมีอายุยืนยาวเพื่อทำดี?
[16] คำว่า "สวัสดี" มีความหมายว่า "มีสิ่งที่ดี" จะมีสิ่งที่ดีๆ เกิดขึ้นได้ ก็ต้องมีเหตุ คือ ทำดี (เพราะความดีจะนำสิ่งที่ไม่ดีมาให้ ไม่ได้อย่างแน่นอน) และก็ต้องศึกษาพระธรรม ด้วย ดังนั้น คำว่า สวัสดี จึงมีความหมายที่ดีมาก เป็นเครื่องเตือนให้ทำดี และศึกษาพระธรรม
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๒๓
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[1] ฟังเพื่อประโยชน์คือ เป็นผู้ไม่ประมาท เมื่อมีโอกาสที่จะกระทำกุศลใดทำทันที เห็นโทษเห็นภัยในอกุศลแต่ละขณะที่เกิดขึ้น เช่น ความโกรธ ความอิจฉา ความ ตระหนี่ ความติดข้อง ..... ค่อยๆ ขัดเกลาอกุศลธรรมต่างๆ จนกว่าจะละได้หมดสิ้น เป็นสมุจเฉท นี่คือประโยชน์ของการฟัง ฟังเพื่อประโยชน์ คือ จะได้ไม่ประมาท
[2] เมื่อกล่าวถึงอกุศล ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงโดยนัยต่างๆ ไว้ ผู้ศึกษา เมื่อได้ฟังเรื่องอกุศลต่างๆ ที่มีอยู่ก็ควรที่จะน้อมพิจารณาให้เข้าใจถึงตัวอกุศลต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะอกุศลต่างๆ นั้นไม่ได้อยู่ในตำรา แต่เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งทรง แสดงไว้เป็น ๙ กอง เช่น อาสวะ ๔ โยคะ ๔ โอฆะ๔ ... กิเลส ๑๐ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ ก็ไม่พ้นจากอกุศลเจตสิก ๑๔ ประเภท เป็นอกุศลเจตสิกที่เกิดประกอบกับจิต ย่อม ติดแนบใจเพราะฉะนั้น เมื่อมีโอกาสมาศึกษาถึงอกุศลโดยนัยต่างๆ ก็เพื่อให้เห็น โทษของอกุศล ใครเห็นโทษของอกุศลบ้าง? ถ้าไม่เห็นโทษจริงๆ ก็ละไม่ได้ ถ้ายัง เป็นเราจะละได้อย่างไร การละอกุศลทั้งหลายได้ก็ด้วยปัญญาเท่านั้น ปัญญาเกิด จากการอบรมให้เจริญขึ้น เริ่มจากการฟังให้เข้าใจ
[3] แล้วทุกขณะนี้ก็ก้าวไป แต่ก็ไม่ได้พิจารณาให้มากกว่านั้นว่าที่กำลังก้าวไปทุกวัน ตั้งแต่ลืมตาตื่นนี้ ก้าวไปไหน ก้าวไปสู่ความมัวเมา ก้าวไปสู่ความไม่รู้ ก้าวไปสู่ ความ เศร้าหมอง ความไม่สะอาด ก้าวไปสู่มหาสมุทรของสังสารวัฏฏ์ ก้าวไปสู่ความที่ จะให้ ถูกผูกมัดให้แน่นขึ้น ตั้งแต่ลืมตาจนหลับ
[4] การอบรมเจริญปัญญา เป็นเรื่องต้องเป็นเรื่องที่ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาทจริงๆ เพราะ ฉะนั้นถ้าลดโอกาสของกุศลลง เพีมโอกาสให้อกุศลขึ้นอีกและ อกุศลที่มีกำลังอยู่แล้ว ก็จะมีกำลังเพี่มขึ้นอีก ทุกๆ วันนี้อกุศลสะสมไป ที่จะมีกำลังเพี่มขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อ ทราบว่า ยังไม่สามารถที่จะชนะกิเลสได้ ก็ขอเพียงฟัง ไม่ต้องทำอะไรมากค่ะ อย่า ขาดการฟัง แต่ถ้ารู้ตัวเองว่า แม้แต่เพียงการฟัง ก็ชักจะไม่สนใจ หรืว่าไม่มีกำลัง สัทธาพอที่จะฟังขณะนั้น ก็แสดงให้เห็นกำลังของ การคบหาสมาคมกับ อกุศล ซึ่งมี กำลังเพี่มขึ้นมหาศาล ขึ้นอีกเรื่อยๆ แม้แต่การฟังก็ไม่ฟัง
[5] การฟังพระธรรมเป็นสี่งที่จำเป็นตลอดชีวิต ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว เพราะว่า บางท่านอาจจะถามว่า จะต้องฟังนานสักเท่าไร คำตอบก็คือตลอดชีวิตค่ะ และไม่ใช่ ชาตินี้ชาติเดียวด้วย กี่กัปป์ก็ตามแต่ที่มีโอกาสทีจะได้ฟัง เพราะว่่าไม่่มีใครรู้ว่าชาติ ไหนจะได้ฟัง เพราะว่ากุศลกรรมมที่ไม่ประกอบด้วยปัญญามี เมื่อกุศลกรรรมนั้นให้ผล หลังจากสี้นชีวิตจากโลกนี้แล้วปฏิสนธิจิตไม่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก เพราะว่าเป็น ผลของกุศล ที่ไม่ได้ประกอบด้วยปัญญาเพราะฉะนั้น ก็ยากที่จะเป็นผู้ที่สนใจใน พระธรรม หรือว่าเป็นผู้ที่สามารถจะเจริญงอกงามในพระธรรมจนกระทั่งถึง รู้แจ้งใน อริยสัจจธรรมได้
[6] ถึงแม้อกุศลจิตจะเกิดมาก แต่ก็ไม่เป็นเครื่องกั้นในการอบรมเจริญปัญญา สิ่งสำคัญ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมแล้วน้อมที่จะประพฤติตามพระธรรมเพื่อขัดเกลา กิเลสของตนเอง เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะดับกิเลส ดับอกุศลดับอวิชชาได้อย่างเด็ด ขาด ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา สะสมไปทีละเล็ก ทีละน้อย โดยไม่ขาดการให้อาหารของปัญญา คือ การฟังพระธรรม คบหากับพระธรรม
ขออนุโมทนา
ถ้าพ่อแม่ของตนเอง ยังทำดีกับท่านไม่ได้ แล้วจะทำดีกับคนอื่นได้อย่างไร พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อุปการะเกื้อกูลให้ไม่ละเลยความดีในชีวิตประจำวัน เป็นเครื่องเตือนให้ไม่ลืมทำดี เพราะความดีนำมาซึ่งความสุข
ขอความสวัสดีจงมีแด่สหายธรรมทุกๆ ท่าน
ขอบคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์คำปั่นค่ะ
แล้วทุกขณะนี้ก็ก้าวไป แต่ก็ไม่ได้พิจารณาให้มากกว่านั้นว่าที่กำลังก้าวไปทุกวัน ตั้งแต่ลืมตาตื่นนี้ ก้าวไปไหน ก้าวไปสู่ความมัวเมา ก้าวไปสู่ความไม่รู้ ก้าวไปสู่ ความ เศร้าหมอง ความไม่สะอาด ก้าวไปสู่มหาสมุทรของสังสารวัฏฏ์ ก้าวไปสู่ความที่ จะให้ ถูกผูกมัดให้แน่นขึ้น ตั้งแต่ลืมตาจนหลับ
ขออนุโมทนา อ. ผเดิม อ. คำปั่นและทุกท่าน ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
* ไม่ควรจะลืมเลยว่า ต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน แล้ววันไหนก็ไม่ทราบด้วย แต่ว่า โดยมากทุกท่านหลงชีวิต แล้วก็ลืมเสียจริงๆ ว่าจะต้องสิ้นชีวิต ไม่ได้คิดถึงเลยว่าจะต้องจากโลกนี้ไป
* เดี๋ยวก็หลงไปตามรูปชั่วครู่หนึ่ง เดี๋ยวก็หลงไปตามเสียง
* ยังไม่ทันไรก็หลงไปตามกลิ่น หลงไปตามรส หลงไปตามโผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ลืมความจริงข้อนี้ คือ ไม่ลืมความจริงว่าจะต้องตาย แล้ว ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ท่านเจริญกุศลทุกประการ...
กราบท่านอาจารย์
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณคำปั่น อักษรวิลัย เป็นอย่างยิ่งครับ
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
* จะมีอายุยืนยาวเพื่อทำชั่ว หรือ จะมีอายุยืนยาวเพื่อทำดี?
* ความรู้ ดีกว่า ความไม่รู้ เพราะฉะนั้น จึงมีการฟังพระธรรม
ขอบคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่ควรจะลืมเลยว่า ต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน แล้ววันไหนก็ไม่ทราบด้วย แต่ว่า โดยมากทุกท่านหลงชีวิต แล้วก็ลืมเสียจริงๆ ว่าจะต้องสิ้นชีวิต ไม่ได้คิดถึงเลยว่า จะต้องจากโลกนี้ไป เดี๋ยวก็หลงไปตามรูปชั่วครู่หนึ่ง เดี๋ยวก็หลงไปตามเสียง ยังไม่ทันไรก็หลงไปตามกลิ่น หลงไปตามรส หลงไปตามโผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ลืมความจริงข้อนี้ คือ ไม่ลืมความจริงว่าจะต้องตาย แล้ว ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ท่านเจริญกุศลทุกประการ
ความติดข้องต้องการ ไม่ได้ลดน้อยลงเลย แล้วจะลดน้อยลงได้อย่างไร ก็ต้องสะสมปัญญาค่อยๆ ขัดเกลาไปทีละเล็กทีละน้อย ถ้าไม่เห็นโทษของคำไม่จริง ก็จะไม่มีความละอายในการกล่าวเท็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ใครกล่าวเท็จไม่ว่าจะเป็นในเรื่องใดๆ ก็ตาม เมื่อเราต้องการความจริง ก็ต้องพูดคำจริงกับผู้อื่นด้วย คำเท็จ เป็นคำที่ไม่ควรพูดโดยประการทั้งปวง น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ