เรื่องราวของสิ่งที่กำลังปรากฏและลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ

 
papon
วันที่  12 ม.ค. 2557
หมายเลข  24313
อ่าน  992

เรียน อาจารย์ทั้งสองท่าน

เรื่องราวของสิ่งที่กำลังปรากฏและลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ต่างกันอย่างไรครับ ขอความอนุเคราะห์ด้วยครับ

ขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 12 ม.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สิ่งที่กำลังปรากฏ คือ สภาพธรรมที่มีจริง คือ นามธรรม และ รูปธรรม ที่เป็น จิต เจตสิก และรูป เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง ที่เป็นสิ่งที่ปรากฏ คือ นามธรรม และ รูปธรรม ก็มีลักษณะให้รู้ เพราะสภาพธรรมที่ปรากฏ ย่อมมีลักษณะ

คำว่า ลักษณะ นั้น ตามศัพท์หมายถึง เครื่องหมายรู้ ดังนั้น สภาพธรรมแต่ละอย่าง ย่อมมีเครื่องหมายให้รู้ว่า เป็นสภาพธรรมอะไร ซึ่งไม่ปะปนกันกับลักษณะของสภาพธรรมอย่างอื่น เช่น จิต ถึงแม้ว่าจะจำแนกเป็นจิตประเภทต่างๆ มากมาย เป็นชาติกุศล ชาติอกุศล ชาติวิบาก ชาติกิริยา แต่จิตก็มีลักษณะอย่างเดียว คือ มีการรู้แจ้งอารมณ์เป็นลักษณะ ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างไปจากเจตสิก เพราะจิตไม่ใช่เจตสิก เจตสิกนั้นมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เช่น โทสะ มีความดุร้าย เป็นลักษณะ ปัญญา มีการแทงตลอดสภาพธรรม เป็นลักษณะ เป็นต้น

ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ มี 2 อย่าง คือ สามัญญลักษณะ และ วิเสสลักษณะ

-สามัญญลักษณะ คือ ลักษณะสามัญทั่วๆ ไป ลักษณะตามธรรมชาติ ตามปกติปรมัตถธรรมจะต้องมีเหมือนๆ กันอยู่ ๓ อย่าง คือ อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และ อนัตตลักษณะ

# อนิจจลักษณะ เป็นลักษณะที่ไม่เที่ยงไม่มั่นคง ไม่ยั่งยืนอยู่ได้ตลอดกาล

# ทุกขลักษณะ เป็นลักษณะที่ทนอยู่ไม่ได้ ต้องแตกดับเสื่อมสลายสูญหายไป

# อนัตตลักษณะ เป็นลักษณะที่ว่างเปล่า ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ จะให้เป็นไปตามที่ใจชอบไม่ได้

-วิเสสลักษณะ เป็นลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของปรมัตถธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งไม่เหมือนกันเลย วิเสสลักษณะ มี ๔ ประการ คือลักษณะ รสะ ปัจจุปัฏฐาน และปทัฏฐาน

#ลักษณะ คือคุณภาพหรือเครื่องแสดง หรือสภาพโดยเฉพาะที่มีประจำตัวของธรรมนั้นๆ

#รสะ คือ กิจการงาน หรือหน้าที่ของธรรมนั้นๆ

#ปัจจุปัฏฐาน คือผลของรสะ หรืออาการปรากฏของธรรมนั้นๆ

#ปทัฏฐาน คือ เหตุใกล้ที่ทำให้ธรรมนั้นๆ เกิดขึ้น

สิ่งใดมีจริงเพราะอะไร เพราะมีลักษณะ เพราะมีลักษณะให้รู้ จึงสามารถปรากฏให้รู้ได้ สิ่งนั้นจึงมีจริง จึงบัญญัติเรียกว่าเป็นธรรม ดังนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะมีลักษณะให้รู้ เพราะสภาพธรรมมีลักษณะให้รู้ ธรรมมีอยู่แล้วมีลักษณะให้รู้อยู่แล้วในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะไม่เรียกชื่อก็ตาม แข็งมีจริง รู้ว่าแข็งมีจริงเพราะอะไร เพราะมีลักษณะปรากฏให้รู้ว่าแข็ง เจ็บมีจริง ปรากฏได้เพราะมีลักษณะ

เรื่องราวของสิ่งที่กำลังปรากฏ คือ บัญญัติ ที่เป็น เรื่องราวของสภาพธรรม หลังจากที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ ที่เป็นนิมิต รูปร่าง สัณฐาน เพราะฉะนั้น อาศัยลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏ จึงมีเรื่องราวบัญญัติของสภาพธรรมได้ ครับ

การเข้าใจธรรมคือ ต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใช่เข้าใจชื่อธรรม เพราะที่บัญญัติว่าเป็น จิต เจตสิก เป็นโลภะ เป็นโทสะ ก็เพราะมีลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างของสภาพธรรมที่แตกต่างกัน การอบรมปัญญาจึงเป็นการเข้าใจตัวธรรม นั่นคือ รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะขณะที่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นไม่มีชื่อ ไม่มีใคร ไม่มีสัตว์ บุคคล เพราะขณะนั้นรู้ตรงลักษณะอันเป็นการแสดงถึงความเป็นธรรมและเป็นอนัตตา จุดประสงค์ของการศึกษาธรรมก็คือเพื่อเข้าใจตัวธรรมที่มีในขณะนี้ก็คือ การรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมนั่นเอง ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 12 ม.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ทุกขณะของชีวิต คือ สภาพธรรมที่มีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา มีลักษณะให้รู้ตามความเป็นจริงได้ เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่พ้นไปจากจิต เจตสิก และรูป เพราะมีสภาพธรรมที่มีจริง จึงมีบัญญัติเรื่องราวต่างๆ และที่น่าพิจารณาคือ ฟังพระธรรมก็คือฟังเรื่องของสภาพธรรม เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อให้มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ตรงตามที่ได้ฟังทุกประการ

จิต เจตสิก รูป นั้น เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ที่ไม่เที่ยงนั้นเพราะเกิดแล้วดับไป สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปนั้นเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะเหตุว่าตั้งอยู่ไม่ได้ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เมื่อไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จึงเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ลักษณะทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นลักษณะที่ทั่วไปแก่สภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรม ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด

ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ การศึกษาธรรมเป็นการศึกษาถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เนื่องจากคุ้นเคยกับความเป็นตัวตน คุ้นเคยกับความเป็นเรา พร้อมทั้งได้สะสมความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนาน จึงหลงยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นต้วตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา ดังนั้น ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้นจึงควรที่จะศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละลายความไม่รู้ ละความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ในที่สุดครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 12 ม.ค. 2557

สิ่งที่ปรากฏเป็นปรมัตถ์ เรื่องราวเป็นบัญญัติ สิ่งที่ปรากฏ ประกอบด้วยปัญญาก็ได้ ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็ได้ เรื่องราวเป็นได้ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
papon
วันที่ 1 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 22 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ