ขอความหมาย กาลมรณะ และ อกาลมรณะ ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กาล หมายถึง เวลา
มรณะ คือ การตาย ซึ่ง ๓ อย่าง คือ
1. ขณิกมรณะ ความตายชั่วขณะที่เป็น จิต เจตสิกที่เกิดขึ้นและดับไป แต่ละขณะ
2. สมมติมรณะ คือ ความตายที่สมมติขึ้น ที่สมมติว่า ผู้ที่สิ้นชีวิต คือ ตายจากโลกนี้ไป
3. สมุจเฉทมรณะ ความตายของพระอรหันตขีณาสพ คือ ขณะที่จุติจิตของพระอรหันต์เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพชาติใหม่อีก เป็นความตายครั้งสุดท้ายในสังสารวัฏฏ์ เพราะไม่มีตัณหาซึ่งเป็นเหตุให้เกิดนามรูปในภพใหม่อีกต่อไป
ซึ่งจากคำถามที่ว่า
-กาลมรณะ คือ ช่วงเวลาที่ตาย ก็สามารถแบ่งเป็น ๒ นัย คือ กาลมรณะ ของสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก กาลมรณะ ที่โดยสมมติมรณะ คือ ช่วงเวลาที่ตายจากความเป็นบุุคคลนี้ คือ จุติจิตเกิดขึ้น เรียกว่า กาลมรณะเช่นกัน
-อกาลมรณะ คือ ช่วงเวลาที่ไม่ถึงความตาย เช่น ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่เกิดจุติจิต หรือ ช่วงเวลาที่สภาพธรรมนั้นเกิดแล้วยังไม่ดับ ก็เรียกว่า อกาลมรณะได้ ครับ
เชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ ครับ
เพราะฉะนั้น ในพระธรรมคำสอนเนี่ยค่ะจะมี ความตาย ๓ อย่าง คือ ขณิกมรณะ (ขะ-นิก-กะ-มอ-ระ-นะ) มาจากคำว่า ขณะทุกขณะ ตายทุกขณะ ไม่เคยรู้ตัวเลย เห็นเกิดแล้ว เห็นตายแน่ๆ เพราะว่า หมดแล้ว ไม่กลับมาอีกเลยสิ่งใดก็ตามหมดแล้ว ไม่กลับมาอีก ไม่เหลือเลยเหมือน ไฟดับ ไฟที่ดับ ใครจะไปตามหาไฟนั้นได้ไหม ไม่มี ร่องรอยเลย ใช่ไหมคะ
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ขณิกมรณะ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นดับ จนกว่า จะถึงสมมติมรณะ (สัม-มะ-ติ-มอ-ระ-นะ) ที่เราสมมติว่า “ตาย” แต่ว่า ตายอยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้น เวลาที่ตาย ก็คือว่า จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ เฉพาะชาตินี้ เกิดแล้วดับ จึงชื่อว่า “ตาย” ถ้า จิตขณะนี้ เช่น เห็นเกิด แล้วก็ดับไป แล้วก็มีเห็นต่อไป แล้วก็มีได้ยินต่อไปสืบต่อ อยู่เรื่อยๆ ในชาตินี้ ยังไม่ชื่อว่า “ตาย” แต่ว่าเมื่อ จิตขณะสุดท้าย เกิดขึ้นแล้วดับไปทำกิจ เคลื่อนพ้น สภาพความเป็นบุคคลนี้ โดยสิ้นเชิง จะกลับมาอีกไม่ได้เลย ถ้าเรานอนหลับ นะคะ แล้วก็ตื่น ตอนหลับ อยู่ที่ไหน ไม่มีใครรู้เลย ใช่ไหมคะ
ชื่ออะไร ตอนหลับ บ้านอยู่ที่ไหน นอนอยู่ที่ไหน มีทรัพย์สมบัติมากมาย มีความทุกข์ความสุขยังไงไม่มีเลย ในขณะที่หลับ แต่ก็ต้องตื่น เพราะ ยังไม่ตาย เพราะเหตุว่ากรรม ที่ทำให้เป็น บุคคลนี้ ยังไม่สิ้นสุด แต่เวลาที่ กรรม ทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ จิตขณะสุดท้าย เกิดแล้วดับไป สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ที่รู้กันว่าคนนั้น ตาย คนนี้ ตาย ก็คือ จุติจิตเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ทำกิจเคลื่อนพ้นจากความเป็นบุคคลนี้อย่างสิ้นเชิง
บุคคลที่เคยผูกพันไว้ มีความเยื่อใยติดข้องมากมายในปัจจุบันชาตินี้ในฐานะมารดาบ้าง บิดาบ้าง บุตรธิดาบ้าง ญาติสนิทมิตรสหายบ้าง แต่ว่าเมื่อถึงคราวจะต้องจากโลกนี้ไป เพียงชั่วพริบตาเดียว บุคคลนั้นก็เป็นบุคคลอื่น ในเมื่อบุคคลนั้นสิ้นชีวิตละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็เป็นบุคคลใหม่โดยเด็ดขาด จะย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย
การเกิดดับสืบต่อของปฏิสนธิจิตและจุติจิตไม่มีระหว่างคั่นเลย ตายแล้วเกิดทันทีสำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ เมื่อจุติจิตซึ่งเป็นจิตดวงสุดท้ายของภพนี้ดับไปแล้ว จิตที่เกิดสืบต่อ คือปฏิสนธิจิต เกิดทันทีในภพภูมิต่อไป แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์เกิด เกิดเป็นเทวดา แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ เกิดเป็นสัตว์นรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ตามสมควรแก่กรรม
จึงแสดงให้เห็นว่า ชีวิตของคนเรานั้น เป็นการเกิดดับสืบต่อกันของจิตแต่ละขณะๆ เรื่อยไป ตั้งแต่เกิดจนตายจากภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณค่ะ อ.ผเดิม อ.คำปัน
ขออนุญาตเอาไปตอบให้เพื่อนนะคะ
ขอบคุณค่ะ