หยุดการเกิดของจิตได้ไหม

 
ckannikar
วันที่  16 ม.ค. 2557
หมายเลข  24332
อ่าน  1,370

เรียนท่านผู้รู้

ดิฉันอยากทราบว่าระหว่างที่ยังไม่นิพพานนี้ เราสามารถหยุดการเกิดของจิตได้หรือคะ ที่ดิฉันสงสัยเนื่องจากได้ยินพระอาจารย์รูปหนึ่งเทศน์สอนว่าให้หยุดการเกิดของจิต

ขอบพระคุณมากค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 ม.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เป็นสภาพธรรมที่สั้นแสนสั้น มีอายุเพียงแค่ขณะที่เกิดขึ้นขณะที่ตั้งอยู่และขณะที่ดับไปเท่านั้น ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ว่า สภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ จิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นแล้วต้องดับไป ซึ่งจิตเมื่อเกิดขึ้น ดับไปแล้ว ย่อมเป็นปัจจัยให้จิตดวงใหม่เกิดขึ้นเสมอ โดยอนันตรปัจจัย ตราบใดที่ยังมีกิเลส แม้พระพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถทรงห้ามให้ไม่เกิดจิตขณะต่อไปได้ เพราะเป็นธรรมดาของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป และจิตดวงใหม่ก็ต้องเกิดขึ้น จนกว่า จะถึง จุติจิตของพระอรหันต์ที่เมื่อดับไปแล้ว ย่อมไม่มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก รูปอีกเลย ปรินิพพานสิ้นเชิง แต่ตราบใดที่ยังมีกิเลส และ แม้ไม่มีกิเลส แม้พระพุทธเจ้าที่ยังไม่ปรินิพพาน ก็ยังมีการเกิดขึ้นของจิต และ ดับไป จิตดวงอื่นก็เกิดต่อ ไม่มีใครห้ามได้เลย ครับ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่าสังขารทั้งหลาย (สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง อันได้แก่ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นใจ สังขารแม้อย่างหนึ่งที่เที่ยงนั้น ไม่มีเลย ชีวิตของแต่ละบุคคลก็ไม่พ้นจากสังขาร ทุกขณะของชีวิตเป็นสังขาร เนื่องจากว่ามีจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรยั่งยืน เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป จากที่ไม่มี ก็เกิดมีขึ้น แล้วก็ดับไปในที่สุด

ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด แน่นอนต้องเกิด มีจิต เจตสิก และรูป เกิดขึ้นเป็นไปในภพต่างๆ สังสารวัฏฏ์นี้ยาวนานเหลือเกิน

ดังนั้น ประโยชน์สูงสุดของการเกิดมาในแต่ละภพแต่ละชาตินั้น ก็คือ มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญา (ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก) ไปตามลำดับ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 16 ม.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จิต เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้นชั่วขณะสั้นๆ นั้น มีปัจจัยหลายอย่าง เช่นต้องมีเจตสิกธรรมเกิดร่วมด้วย ต้องมีที่อาศัยให้จิตเห็นเกิด ต้องมีอารมณ์ คือ สี ซึ่งเกิดก่อนแล้ว และมีกรรมเป็นปัจจัยทำให้มีจิตเห็นเกิดขึ้น จิตเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยไม่มีใครบังคับหรือทำให้เกิดขึ้นได้เลย ถ้าจะกล่าวอย่างกว้างๆ แล้ว จิตขณะนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ถ้าไม่มีเหตุที่ทำให้มีการเกิดในภพนี้ชาตินี้ซึ่งได้แก่ ตัณหา อันเปรียบเสมือนมารดาผู้ยังสัตว์ให้เกิดในภพภูมิต่างๆ พร้อมกันกับต้นตอของสังสารวัฏฏ์ คือ อวิชชา (ความไม่รู้) เพราะมีการเกิดในภพนี้ชาตินี้ จึงมีการเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม กล่าวคือ จิต ซึ่งก็หมายรวมถึงเจตสิก อันเป็นสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิตด้วย นอกจากนั้น สภาพธรรมยังมีรูปธรรมอีกด้วย ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จิตแต่ละขณะมีอายุที่สั้นแสนสั้น เพียงแค่ ๓ อนุขณะ (ขณะย่อย) เท่านั้น คือขณะที่เกิดขึ้น ขณะที่ดำรงอยู่และขณะที่ดับไป เมื่อได้ฟังได้ศึกษาพระธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจิตบ้าง เจตสิกบ้าง รูปบ้าง ก็เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อความเข้าใจอย่างมั่นคงว่า ไม่มีเรา มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไปและจะเป็นไปเพื่อละคลายความติดข้อง ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ เพราะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เมื่อว่าโดยลักษณะแล้ว มีลักษณะเดียวคือ รู้แจ้งซึ่งอารมณ์ ที่กล่าวว่าเป็นจิตที่ดี หรือจิตที่ไม่ดีนั้น เพราะเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย เช่น ถ้าโลภะเกิดกับจิต จิตนั้นก็ไม่ดีเพราะมีอกุศลเจตสิกคือโลภะ ความติดข้องต้องการเกิดร่วมด้วย ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีเจตสิกฝ่ายดีคือ ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ หรือแม้กระทั่ง อโมหะ คือ ปัญญา เกิดร่วมด้วยกับจิตในขณะนั้น ก็เป็นจิตที่ดี เป็นกุศลจิต ขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้นนั้น เป็นการพักจากอกุศลชั่วขณะที่จิตเป็นกุศล นอกจากกุศลจิต กับ อกุศลจิต แล้ว ก็มีวิบากจิตและ กิริยาจิต เป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมที่มีจริงๆ ตราบใดที่ยังมีเหตุให้มีจิตเกิดขึ้น จิตก็เกิดขึ้นเป็นไป แต่เมื่อดับกิเลสหมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีก ไม่มีสภาพธรรมใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย เพราะฉะนั้นแล้ว หนทางที่จะเป็นไปเพื่อความไม่เกิดอีก ก็คือ หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 16 ม.ค. 2557

จิตเกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นธรรมดา เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่มีจิตดวงไหนเกิดแล้วไม่ดับ และหยุดจิตไม่ให้เกิดไม่ได้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ckannikar
วันที่ 16 ม.ค. 2557

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตที่มีเมตตาอธิบายจากทุกท่านผู้รู้ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
mon-pat
วันที่ 17 ม.ค. 2557

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaw
วันที่ 18 ม.ค. 2557

เรียนถามผู้เข้าใจในธรรมที่ว่าการเกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยากและการดำรงชีวิตต่อไปก็แสนยาก เราจึงควรต้องศึกษาและปฏิบัติด้วยชีวิตเพื่อชีวิตและตลอดชีวิตหมายความว่าอย่างไร

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaw
วันที่ 3 ก.ค. 2557

หมายถึง การเกิดมาไม่เสียเปล่าที่ได้พบคำสอนที่ดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 29 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ