สิ่งที่กำลังปรากฏ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
เรียนขอคำอธิบายรายละเอียดดังนี้ค่ะ
๑. สิ่งที่ปรากฏ คือ อะไร มีกี่ประเภท อะไรบ้าง มาจากบาลีคำใด กรุณายกตัวอย่างที่ปรากฏในพระไตรปิฎกด้วยค่ะ
๒. ในที่นี้ คำว่า “กำลัง” คือ อะไร หมายความว่าอย่างไร มาจากบาลีคำใด กรุณายกตัวอย่างที่ปรากฏในพระไตรปิฎกด้วยค่ะ
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนากุศลทุกประการของทุกๆ ท่านค่ะ
ด้วยความเคารพยิ่ง จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งที่กำลังปรากฏ คือ สภาพธรรมที่มีจริง คือ นามธรรม และ รูปธรรม ที่เป็น จิต เจตสิกและรูป เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง ที่เป็นสิ่งที่ปรากฏ คือ นามธรรม และ รูปธรรม ก็มีลักษณะให้รู้ เพราะสภาพธรรมที่ปรากฏ ย่อมมีลักษณะ ซึ่งมี ๔ อย่าง คือ จิต เจตสิก รูป และ นิพพาน ส่วนคำว่า กำลัง หมายถึง ขณะปัจจุบัน นั่นเอง ที่แสดงถึง ขณะนี้ ปัจจุบัน ที่กำลังปรากฏ
ทุกขณะของชีวิต คือ สภาพธรรมที่มีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา มีลักษณะให้รู้ ตามความเป็นจริงได้ เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่พ้นไปจากจิต เจตสิก และรูป เพราะมีสภาพธรรมที่มีจริง จึงมีบัญญัติเรื่องรางต่างๆ และที่น่าพิจารณา คือ ฟังพระธรรมก็คือฟังเรื่องของสภาพธรรม เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อให้มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ตรงตามที่ได้ฟังทุกประการ
จิต เจตสิก รูป นั้น เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ที่ไม่เที่ยงนั้นเพราะเกิดแล้วดับไป สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปนั้น เป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะเหตุว่าตั้งอยู่ไม่ได้ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เมื่อไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จึงเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ลักษณะทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นลักษณะที่ทั่วไปแก่สภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ การศึกษาธรรม เป็นการศึกษาถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เนื่องจากคุ้นเคยกับความเป็นตัวตน คุ้นเคยกับความเป็นเรา พร้อมทั้งได้สะสมความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนาน จึงหลงยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นต้วตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา ดังนั้น ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้นจึงควรที่จะศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละลายความไม่รู้ ละความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ในที่สุดครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แม้ไม่ได้กลับเข้าไปหาภาษาบาลี ความเป็นจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ก็ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น มีจริงๆ ปรากฏ (ปากฏภูตํ) ตามที่เป็นจริง ซึ่งจะต้องมีปัญญาเข้าใจถูก จึงจะสามารถรู้ถึงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริงได้ และที่สำคัญการรู้ธรรม ก็คือรู้ขณะนี้ที่กำลังปรากฏ
สิ่งที่ปรากฏ คือ สภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้เลย ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย และที่จะมีการรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็คือ รู้ในสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ที่เกิดขึ้นเป็นไป ซึ่งมีลักษณะให้รู้ตามความเป็นจริงได้
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจถึงลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สำหรับธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก จิตเป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นวิบาก เป็นกิริยา โดยประมวลแล้ว เป็นจิต เจตสิก รูป หรือ เป็นนามธรรม กับ รูปธรรม เมื่อประมวลให้ย่อที่สุดแล้ว คือ เป็นธรรม หรือ เป็นธาตุ เมื่อเป็นธรรม เป็นธาตุ แต่ละอย่างๆ จึงหาความเป็นสัตว์เป็นบุคคลไม่ได้เลย
การศึกษาธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด จุดประสงค์ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ตามความเป็นจริง ถ้าไม่อาศัยการฟัง ไม่อาศัยการศึกษาอย่างต่อเนื่องด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว ย่อมไม่สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้ ดังนั้น จึงต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม บ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้นไปตามลำดับ และที่ฟัง ที่ศึกษา ก็คือ เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง นั่นเอง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ.....