การเมือง กับ ความเห็นถูก และ ความตรง
ได้ฟังคำบรรยายจากท่านอาจารย์สุจินต์ ชั่วโมงปฏิบัติธรรม 26 มกราคม 2557 เกี่ยวกับความเห็นถูกในเรื่องต่างๆ ที่จะทำให้เกิดความเห็นถูกได้อย่างไร จึงนำมาแบ่งปัน สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ฟัง เราศึกษาธรรม ก็เพื่อรู้ความจริงของสิ่งนั้น ผู้ถามพูดเรื่อง ม็อบ ม็อบ คืออะไร
ผู้ถาม คือ การชุมนุมรวมกัน
ท่านอาจานย์ การชุมนุมมีไหม ประเทศอื่นมีไหม ทั่วโลกมีไหม ถ้าต้องการคำตอบ ต้องการความจริง ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สามารถรู้ความจริงได้ถึงที่สุด ซึ่งก็ไม่พ้นจากธรรม ผู้ถาม และ ทุกคนต้องการความจริงใช่ไหม คะ ไม่ใช่ข้ามๆ ไป เพราะ ทุกอย่างมีทั้งฝ่าย กุศลธรรม และ อกุศลธรรม ด้วย
และ อย่างที่ ผู้ถาม ถามว่า มีคนชักชวนไป จริงๆ แล้ว ถ้าผู้ถาม จะไปหรือไม่ไป เพราะ คนอื่นชักชวน หรือว่าความเห็นของผู้ถามเอง หรือ ต้องอาศัยคนอื่นชักชวน หรือว่า ใครจะชักชวนอย่างไร นั่นเป็นความเห็นของผู้ชักชวน แต่ ความเห็นของผู้ถามเป็นอย่างไร และถ้าผู้ถามต้องการความจริง ก็ต้องเป็นผู้ตรง ไม่ใช่คิดเอง ค่ะ
แต่ต้องฟังทุกเรื่องที่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ ตามความเป็นจริง ไม่ใช่หลงเชื่อ หรือหลงคิด นะคะ ผู้ที่ต้องการความจริงทุกคนต้องเป็นอย่างนี้ ค่ะ ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไร เป็นเรื่องธรรม เรื่องสำนักปฏิบัติ หรือ หนทางปฏิบัติ ผู้ที่ต้องการความจริง ต้องไม่หนี ไม่เลี่ยง ไม่หลีก เผชิญหน้ากับความจริง ด้วยการซักถามไตร่ตรอง จนกระทั่งรู้ว่าความจริงคืออะไร อันนี้สำหรับทุกสถานการณ์นะคะ ที่ต้องการรู้ความจริง แต่ ถ้าสำหรับผู้ไม่ต้องการรู้ความจริงก็ตรงกันข้าม พอพูดเรื่องไม่ถูกใจก็หยุดเลย ไปอื่นเลย ไม่อยากฟังว่าแท้จริงแล้ว ความจริงคืออะไร
และ อีกอย่างหนึ่ง นะคะ ความจริงเป็นสิ่งที่รู้ง่าย หรือ รู้ยาก ไม่ว่าเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น แสนยาก แม้แต่ขณะนี้นะคะ ธรรมจริงๆ กำลังเผชิญหน้า ก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้น เรื่องคำพูดก็ตาม คนหนึ่ง พูดกับอีกคนหนึ่ง คนที่สามแปลไปอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากที่จะรู้ความจริง นะคะ แต่ ก็ไม่พ้นจากหลักฐาน เพราะ เราไม่ได้คิดเอง ก็มีหลักฐานทุกอย่าง ที่ผู้กล่าว สามารถกล่าว และพิสูจน์ ให้ตรวจสอบได้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่หลงเชื่อ ให้มาชวน หรือ ให้ทำอะไร ซึ่งต้องเป็นผู้ที่ตรง
บางคนมีความคิดอยู่ในใจไม่พูด แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง พูดได้ไหม ในเมื่อเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ถ้าใครไม่พูด มีสิ่งที่ถูกต้องในใจหรือเปล่า เพราะเหตุว่า ถ้าเป็น ความจริง และ ถูกต้อง ควรพูด หรือ ไม่ควรพูด
สำหรับดิฉันเอง ก็เป็นกัลยาณมิตร เป็นเพื่อนแท้ กับทุกคน ไม่ว่าเขาเป็นใครและ รู้ว่าชีวิตก็สั้นมาก เกิดมาเนี่ยนะคะ ประโยชน์สูงสุด คือ ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง และไม่สามารถเข้าใจด้วยตนเอง นอกจากศึกษาพระธรรม ไตร่ตรอง ละเอียดรอบคอบ เพื่อที่จะได้รู้ความจริงว่าคืออย่างไร เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครที่เห็นผิด ในฐานะที่ดิฉันมีความหวังดี มีความเป็นเพื่อนแท้ ดิฉันควรไหมที่จะพูดความจริง ให้เขาพิจารณาไตร่ตรอง ให้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง หรือ ว่า ช่างเขา แต่ ดิฉันไม่เคยหยุดที่จะ พูด ความจริง เมื่อเป็นประโยชน์ค่ะ ไม่สำคัญว่าใครจะรัก จะชังอะไรทั้งสิ้น ลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่สำคัญเท่ากับ การรักษาความจริงเป็นอย่างนี้ จากพระธรรมที่ทรงแสดงที่สมควรอย่างยิ่งที่จะให้ดำรงอยู่ต่อไป ไม่ใช่ว่าเรารู้ความจริง แต่เราไม่พูด ไม่กล้าพูด กับคนอื่น จะคิดว่าเป็นการทำลาย เบียดเบียนบุคคลอื่น แต่จริงๆ แล้วนะคะ คำจริงไม่ได้เบียดเบียนใครเลย ค่ะ แต่กับอนุเคราะห์ ความเห็นที่ถูกต้อง แต่ คำที่ไม่จริง เบียดเบียนความจริง ให้ คำจริงหมดสิ้นไปเพราะคนหลงเชื่อคำที่ไม่จริง เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจด้วยนะคะ ชีวิตสั้นมาก แล้วเราจะรักตัว จนกลัวคนอื่นจะชัง หรือว่าจะว่ากล่าวติเตียน หรือ เราจะสามารถช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจความถูกต้อง ซึ่งเป็นความจริง เพราะฉะนั้น คนที่ต้องการความจริงจะไม่หลีกเลี่ยง ต้อง หาความจริงถึงที่สุด ไม่ใช่ว่ากลบเกลื่อนอะไรทั้งสิ้น ตามหลักฐาน ตาม ความเป็นจริง ที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล นะคะ ไม่ว่าใครจะไปไหน ทำอะไร ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไป ถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ ทุกอย่างทุกคนลืม คิดว่าเราจะ ว่าเราไม่ ว่าเราจะทำ หรือ ไม่ทำ แต่นั่นไม่ถูกต้อง ค่ะ ถ้าธรรมจริงๆ ไม่ใช่เราจะทำ หรือ เราจะไม่ทำ แต่สิ่งที่เกิดแล้วต่างหาก ที่เกิดจากการสะสมมาที่เกิดแล้วให้เห็นว่า บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้น การเข้าใจธรรมที่ได้ศึกษาแล้ว นะคะ ทุกสถานการณ์ ทุกสถานที่ ทุกวันเวลา มีธรรมทั้งหมด ที่จะทำให้รู้ในสิ่งที่เกิดแล้ว เราอาจจะลืมก่อนนั้นนะคะ ว่าเราจะทำ เราจะไป เราจะไม่ไป ใช่ไหม คะ เป็นเราค่ะ แต่ขณะใดที่ระลึกได้ในสิ่งที่เกิดแล้ว ไม่ว่าที่ใดทั้งสิ้น นะคะ นั่นคือการเข้าใจธรรม แต่เวลาที่ไปที่ใด ได้ยินเสียงอะไรก็ตามแต่ ผู้ถาม คิดมาก่อนหรือเปล่า ที่จะได้ยินเสียงนั้น ไม่รู้เลย ค่ะ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าไปในสถานที่ใด ไปดูพี่มากพระโขนง ก็ไปแล้ว จะไปไนท์คลับ ก็เกิดแล้ว ตามการสะสม ฉะนั้น จะไม่สามารถรู้การสะสมที่มีมาในจิต นานแสนนาน ค่ะ ว่าแต่ละคน ประพฤติ ตามที่เป็นไป ตามที่สะสม จะประพฤติต่างจากการสะสมมาไม่ได้เลย ไม่ว่าจะนั่ง อากัปกิริยา จะยืน จะเดิน จะพูด แต่ละหนึ่งไม่กลับมาอีกเลย ไม่เช่นนั้น จะไม่มีปัญญาที่ตัดขาด ความเป็นตัวตน ก็ยังคงเป็นเรา เพราะ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล นะคะว่าถ้าต้องการรู้ความจริงที่สามารถเข้าใจได ถ้าเป็นในฝ่ายพระธรรมที่ทรงแสดง ก็ต้องในพระไตรปิฎก