หาคำว่า นิพพัตติ ไม่พบ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาต นำความคิดเห็นแต่ละท่านในกระทู้ที่ยกมา มานำเสนอ นะครับ เพื่อที่ผู้อ่าน ท่านอื่นจะได้รับประโยชน์
ธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกสำหรับผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาเป็นปัญญาของตนเอง ทั้งหมดนั้นไม่ว่าพระองค์จะทรงใช้พยัญชนะใดๆ ก็ไม่พ้นไปจากแสดงถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร
สำหรับคำ ๒ คำนี้ คือ อุปปัตติ และนิพพัตติ ความหมายจากพยัญชนะแทบจะไม่ต่างกันเลย เพราะอุปปัตติ แปลว่าเกิดขึ้น นิพพัตติ แปลว่า บังเกิดขึ้น ก็เข้าใจคร่าวๆ จากที่ได้ฟังจากการสนทนาธรรมโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากรว่า
อุปปัตติ มุ่งหมายถึงการอุบัติขึ้นของวิบากจิต ๑๐ ดวง มีเห็น ได้ยิน เป็นต้น ซึ่งเป็นการอุบัติขึ้นเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม เป็นการเห็นจริงๆ ได้ยินจริงๆ ได้กลิ่นจริงๆ ได้ลิ้มรสจริงๆ ได้ถูกต้อง กระทบสัมผัสจริงๆ ทั้งที่เป็นผลของกุศลกรรม และ อกุศลกรรม.ซึ่งจะแตกต่างไปจากสภาพธรรมอื่นๆ โดยใช้พยัญชนะว่า นิพพัตติ กล่าวถึงความเกิดขึ้นของขันธ์อื่นๆ
คำสองคำ คือ อุปปัตติ และ นิพพัตติ ที่หมายถึงการเกิดขึ้น ซึ่งสองคำนี้อยู่ในส่วนของอาทีนวญาณ คือ วิปัสสนาญาณ ที่เป็นปัญญาที่ถึงพร้อมสมบูรณ์ที่ประจักษ์ความจริงในการเห็นโทษของการเกิดขึ้น และดับไปของนามธรรมและรูปธรรม เพราะฉะนั้น อุปปัตติ และ นิพพัตติ จึงเป็นการแสดงลักษณะถึงการเกิดของสภาพธรรมโดยนัยต่างๆ ซึ่ง ปัญญาจะต้องรู้ทั่วในสภาพธรรมในการเกิดโดยนัยต่างๆ แม้จะมีความหมายเหมือนกัน แต่ ก็มีความละเอียดต่างๆ เพราะจะต้องรู้ทั่วในสภาพธรรมที่มีการเกิดในสภาพธรรมที่แตกต่างกันไป แต่ไม่พ้นจากการเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และ รูปธรรม ครับ
ดังนั้น เมื่อเป็นเรื่องของการเกิดขึ้นของสภาพธรรม แต่ ในความละเอียด สภาพธรรมไม่ได้มีเพียงอย่างเดียว สภาพธรรม มีหลากหลาย ทั้งนามธรรม และ รูปธรรม และนามธรรมก็ยังมีหลากหลาย ตามแต่ละประเภทของจิต เจตสิกที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น อาทีนวญาณ การเห็นความเป็นภัย จะต้องเป็นปัญญาที่รู้ทั่ว ในลักษณะของการเกิดโดยนัยต่างๆ ของสภาพธรรมที่แตกต่างกัน
ซึ่ง สำหรับ นิพพัตติ เป็นการแสดงลักษณะของการเกิดของสภาพธรรมที่หลากหลาย กว้างขวางกว่า อุปปัตติ คือ รวมถึง สภาพธรรมที่เป็นรูปธรรมด้วย ที่แสดงลักษณะของการเกิดของรูปในแต่ละกลาป ก็จัดเป็น ลักษณะการเกิด ที่เป็นนิพพัตติลักษณะ และ นามธรรมอื่นๆ ที่เป็น จิตอื่นๆ ยกเว้น จิตชาติวิบาก ก็เป็นการแสดงลักษณะของการเกิดขึ้นของสภาพธรรม ที่เป็น นิพพัตติลักษณะ ครับ
ส่วน อุปปัตติ ก็เป็นการแสดงลักษณะของการเกิดของสภาพธรรมเช่นกัน แต่โดยนัย ที่เป็น วิบาก อันเป็นการแสดงลักษณะการเกิดขึ้น ที่มาจากการถึงพร้อมด้วยเหตุ ที่ทำให้เกิดผล ถึง การอุบัติขึ้น เพราะ ความสุกงอมของกรรม ทำให้เกิดผลที่กำลังมี กำลังปรากฏ ดังที่ท่านอาจารย์สุจินต์ใช้คำว่า อุปปัตติ ว่า คือ ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัสว่า กำลังเห็นกันจะจะ ได้ยินจะจะ คือกำลังปรากฏมีขณะนี้ทีเดียว ให้รู้ได้จริงๆ เพราะ อุปปัตติ หรือ อุบัติเกิดขึ้นแล้ว เพราะผลของกรรมสุกงอมจึงเกิดขึ้น
ซึ่งท่านอาจารย์ ก็ยังอธิบายไปต่อครับว่า อุปปัตติ ต่างจาก นิพพัตติ เพราะ ลักษณะการเกิดของ อุปัตตินั้น ชัดเจนที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะ ความถึงพร้อมของกรรม ส่วนลักษณะการเกิดของ นิพพัตติ เป็นการเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมต่างๆ เช่น ขณะที่ฝัน ก็คิดนึก แม้ไม่ได้เห็น ก็คิดนึกในใจ ไม่ได้ปรากฏลักษณะการเกิด ปรากฏชัด เหมือนขณะที่เห็น ได้ยินจะจะ ที่เป็นอุปปัตติ ครับ
เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้ยินคำใด ก็จะต้องพิจารณาว่า คำนั้น กำลังมุ่งอธิบายในส่วนใด หมวดใดของพระไตรปิฎก ซึ่งสองคำนี้ เป็นส่วนที่อยู่ในวิปัสสนาญานที่เห็นโทษของการเกิด ดับของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น ก็เป็นการแสดงลักษณะของการเกิด โดยนัยต่างๆ นั่นเอง ที่จะต้องเป็นปัญญาที่คมกล้าอย่างยิ่ง ที่จะรู้ลักษณะของการเกิด โดยนัยต่างๆ ที่ไม่ใช่เป็นการคิดนึก เป็นเรื่องราวว่า ลักษณะของการเกิดทั้ง อุปปัตติ และ นิพพัตติ เป็นอย่างไร แต่ ปัญญาจะคมกล้า ถึงขนาดรู้ตัวลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิด ในขณะนั้น และรู้ทั่วในสภาพธรรมแต่ละอย่าง แต่ละนัยที่แตกต่างกัน โดยไมได้ใส่ชื่อเลยในขณะนั้นว่า เป็นอุปปัตติ หรือ นิพพัตติ แต่กำลังรู้ตัวจริงในขณะที่สภาพธรรมกำลังเกิด
นี่แสดงถึง ความละเอียดของปัญญา และ ความละเอียดของกิเลส ที่จะต้องละว่า ยากแสนยาก แต่ไม่เหลือวิสัย พระธรรมจึงควรค่าแก่การศึกษา และ แสดงถึงความยาก และ ละเอียดลึกซึ้งของพระธรรม ตามที่กล่าวมา ครับ
จึงเป็นสิ่งที่ยากอย่างยิ่ง ซึ่งเมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว ทั้ง ๒ คำ ต่างก็เป็นคำที่นำไปสู่การเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ว่าเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนในสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ได้เลย ครับ
ขออนุโมทนา สาธุ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง เพื่อประโยชน์ คือความเข้าใจถูกเห็นถูกของผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาเป็นสำคัญ แม้ในคำ ๒ คำ คือ อุปปัตติ กับ นิพพัตติ ในแง่ของความหมาย ก็คือ แสดงถึงความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม แสดงถึงพระมหากรุณาของพระองค์ที่จะทรงเกื้อกูลให้ได้เข้าใจถูกเห็นถูก เป็นพระปัญญาที่สามารถรู้ถึงความต่างของสภาพธรรมที่เป็นจิต ๑๐ ดวง (เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย เป็นผลของกุศลกรรม และ เป็นผลของอกุศลกรรม) ต่างจากจิตขณะอื่นๆ เช่น คิดถึงสิ่งที่เห็นแล้ว กับ ขณะที่เห็นจริงๆ ย่อมแตกต่างกัน เพื่อให้รู้ถึงความต่างกันอย่างละเอียดของสภาพธรรม ธรรมเป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่ได้สำคัญอยู่ที่คำ แต่สำคัญที่ความเข้าใจถูก เพราะแต่ละคำ ที่ได้ยินได้ฟัง ก็คือเพื่อให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา จนถึงที่สุดว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...