ประวัติท่านพาหิยะ ทารุจีริยะ
[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 425
๒. เรื่องพระทารุจีริยเถระ [๘๒]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระทารุจีริยเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "สหสฺสมปิ เจ คาถา" เป็นต้น
ทารุจีริยะสำคัญว่าตนเป็นอรหันต์
ความพิสดารว่า ในกาลหนึ่ง มนุษย์เป็นอันมากแล่นเรือไปสู่มหาสมุทร เมื่อเรืออับปางในภายในมหาสมุทร ได้เป็นภักษาของเต่าและปลาแล้ว. บรรดามนุษย์เหล่านั้น บุรุษคนหนึ่งแลจับกระดานไว้ได้แผ่นหนึ่ง พยายามกระเสือกไปสู่ฝั่งแห่งท่าเรือชื่อสุปปารกะ. ผ้านุ่งห่มของเขาไม่มี. บุรุษนั้นไม่เห็นอะไรอื่น จึงเอาปอพันท่อนไม้แห้งทำเป็นผ้านุ่งห่ม ถือกระเบื้องจากเทวสถาน ได้ไปสู่ท่าเรือสุปปารกะ. มนุษย์ทั้งหลายเห็นเขาแล้วให้ยาคูและภัตเป็นต้นแล้วยกย่องว่า "ผู้นี้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง." บุรุษนั้น เมื่อมนุษย์ทั้งหลายนำผ้าเข้าไปให้ คิดว่า "ถ้าเราจักนุ่งหรือจักห่ม ลาภสักการะของเราจักเสื่อม" จึงห้ามผ้าที่เขานำมาเสีย นุ่งห่มแต่เปลือกไม้เท่านั้น
ครั้งนั้น เมื่อเขาถูกมนุษย์เป็นอันมากกล่าวอยู่ว่า "เป็นพระอรหันต์" ความปริวิตกแห่งใจจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า "พระอรหันต์ หรือ ผู้บรรลุพระอรหัตตมรรคเหล่าใดเหล่าหนึ่งแลในโลก บรรดาพระอรหันต์เหล่านั้น เราก็เป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่ง" ทีนั้นเทวดาผู้เป็นสาโลหิตกันในกาลก่อนแห่งบุรุษนั้น ก็คิดแล้วอย่างนั้น
ประวัติเดิมของทารุจีริยะ
ข้อว่า ผู้เป็นสาโลหิตกัน ในกาลก่อน คือ กระทำสมณธรรมร่วมกันในครั้งก่อน. ได้ยินว่า ในกาลก่อนเมื่อศาสนาของพระทศพลพระนามว่ากัสสปะเสื่อมลงอยู่ ภิกษุ ๗ รูปเห็นประการอันแปลกแห่งบรรพชิต ทั้งหลายมีสามเณรเป็นต้นแล้ว ถึงความสลดใจคิดว่า "ความอันตรธานแห่งพระศาสนายังไม่มีเพียงใด; พวกเราจักกระทำที่พึ่งแก่ตนเพียงนั้น" ไหว้พระเจดีย์ทองคำแล้ว เข้าไปสู่ป่า เห็นภูเขาลูกหนึ่ง จึงกล่าวว่า "ผู้มีอาลัยในชีวิตจงกลับไป ผู้ไม่มีอาลัยจงขึ้นภูเขาลูกนี้" พาดบันไดแล้ว แม้ทั้งหมดขึ้นสู่ภูเขานั้น ผลักบันไดแล้วกระทำสมณธรรม. บรรดาภิกษุเหล่านั้น พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตโดยล่วงไปราตรีเดียวเท่านั้น. พระเถระนั้นเดียวไม้ชำระฟันชื่อนาคลดาในสระอโนดาต นำบิณฑบาตมาแต่อุตตรกุรุทวีป แล้วกล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า "ผู้มีอายุทั้งหลาย พวกท่านเคี้ยวไม้ชำระฟันนี้ บ้วนปากแล้วจงฉันบิณฑบาตนี้"
ภิกษุ. ท่านผู้เจริญ ก็พวกเราทำกติกากัน ไว้อย่างนี้ว่า "ภิกษุใดบรรลุพระอรหัตก่อน ภิกษุทั้งหลายที่เหลือ จักฉันบิณฑบาตที่ภิกษุนั้นนำมา หรือ" พระเถระ. ผู้มีอายุ ข้อนั้นไม่มีเลย.
ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้น แม้พวกเราพึงยังคุณวิเศษให้บังเกิดเหมือนท่าน, พวกเราจักนำมาบริโภคเอง" ดังนี้แล้ว ก็ไม่ปรารถนา ในวันที่ ๒ พระเถระองค์ที่ ๒ บรรลุอนาคามิผลแล้ว. แม้พระเถระนั้นนำบิณฑบาตมาแล้ว ก็นิมนต์ภิกษุนอกนี้อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้ว่า "ท่านผู้เจริญ ก็พวกเราทำกติกากันไว้อย่างนี้ว่า 'พวกเราจักไม่บริโภคบิณฑบาตที่พระมหาเถระนำมา แต่จักบริโภคบิณฑบาตที่พระอนุเถระนำมา หรือ" พระเถระองค์ที่ ๒. ผู้มีอายุ ข้อนั้นไม่มีเลย.
ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า "เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้พวกเรายังคุณวิเศษให้บังเกิดเหมือนท่านแล้ว อาจเพื่อบริโภคด้วยความเพียรแห่งบุรุษของตนได้จึงจักบริโภค " ดังนี้แล้ว ก็ไม่ปรารถนา.
บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้บรรลุพระอรหัตปรินิพพานแล้ว ภิกษุผู้เป็นอนาคามีบังเกิดในพรหมโลก, ภิกษุ ๕ รูปนอกนี้ไม่อาจยังคุณวิเศษให้บังเกิดได้ ผ่ายผอมแล้วกระทำกาละในวันที่ ๗ บังเกิดในเทวโลกในพุทธุปบาทกาลนี้ จุติจากเทวโลกนั้นแล้ว บังเกิดในเรือนแห่งตระกูลนั้นๆ
บรรดาคนเหล่านั้น คนหนึ่งได้เป็นพระราชา พระนามว่า ปุกกุสาติ คนหนึ่งได้เป็น พระกุมารกัสสป คนหนึ่งได้เป็น พระทารุจีริยะ คนหนึ่งได้เป็น พระทัพพมัลลบุตร คนหนึ่งได้เป็นปริพาชกชื่อ สภิยะ แล คำว่า เทวดาผู้เป็นสาโลหิตกันในกาลก่อนนี้ ท่านกล่าวหมายเอาภิกษุผู้ที่บังเกิดในพรหมโลกนั้น
พรหมบอกความจริงแก่ทารุจีริยะ
พรหมนั้น ได้มีความปริวิตกอย่างนั้นว่า "บุรุษนี้พาดบันไดแล้วขึ้นสู่ภูเขา ได้กระทำสมณธรรมกับเรา, เดี๋ยวนี้เขาถือลัทธินี้เที่ยวไปพึงฉิบหาย. เราจักยังเขาให้สลดใจ." ทีนั้นพรหมนั้นเข้าไปหาบุรุษนั้นแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า "พาหิยะ ท่านไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ดอก, ท่านยังไม่ได้บรรลุพระอรหัตตมรรคเลย: ถึงปฏิปทาของท่านเป็นเหตุให้เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นผู้บรรลุพระอรหัตตมรรค ก็ยังไม่มี" พาหิยะแลดู มหาพรหมผู้ยืนพูดอยู่ในอากาศจึงคิดว่า "โอ เราทำกรรมหนัก เราคิดว่า 'เราเป็นพระอรหันต์.' ก็มหาพรหมผู้นี้พูดกะเราว่า 'ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านยังไม่ได้บรรลุพระอรหัตตมรรคเลย' พระอรหันต์อื่นมีอยู่ในโลกหรือหนอแล" ทีนั้นเขาถามมหาพรหมนั้นว่า "ท่านผู้เป็นเทวดา เดี๋ยวนี้พระอรหันต์หรือผู้บรรลุพระอรหัตตมรรค มีอยู่ในโลกหรือหนอแล"
ครั้งนั้น เทวดาบอกแก่พาหิยะนั้นว่า "พาหิยะ นครชื่อสาวัตถีมีอยู่ในชนบทแถบอุดร, เดี๋ยวนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะนั้น ประทับอยู่ในพระนครนั้น, พาหิยะ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นพระอรหันต์ด้วย ทรงแสดงธรรมเพื่อความเป็นพระอรหันต์ด้วย"
ทารุจีริยะไปเฝ้าพระศาสดา
พาหิยะฟังคำของเทวดาในส่วนแห่งราตรีแล้ว มีใจสลด ในทันใดนั้นนั่นเอง ออกจากท่าเรือสุปปารกะได้ไปถึงกรุงสาวัตถี ด้วยการพักโดยราตรีเดียว. เขาได้เดินทางประมาณ ๑๒๐ โยชน์ ทั้งหมดโดยการพักราตรีเดียวเท่านั้น; ก็แล เมื่อไป ไปแล้วด้วยอานุภาพของเทวดา. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า "ไปด้วยอานุภาพของพระพุทธเจ้าบ้าง" ที่เดียว
ก็ในขณะนั้น พระศาสดาเสด็จเข้าไปสู่กรุงสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต. พาหิยะนั้นถามภิกษุทั้งหลายผู้ฉันอาหารเช้าแล้ว เดินจงกรมอยู่ในที่แจ้งเพื่อต้องการเปลื้องความคร้านทางกายว่า "เดี๋ยวนี้ พระศาสดาประทับอยู่ที่ไหน" ภิกษุทั้งหลายตอบว่า "เสด็จเข้าไปกรุงสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต" แล้วถามบุรุษนั้นว่า "ก็ท่านมาแต่ที่ไหนเล่า"
ทารุจีริยะ ข้าพเจ้ามาแต่ท่าเรือสุปปารกะ
ทารุจีริยะ ข้าพเจ้าออกในเวลาเย็นวานนี้
ภิกษุ ท่านมาแต่ที่ไกล จงนั่งก่อน ล้างเท้าแล้วทาด้วยน้ำมันแล้ว จงพักเหนื่อยเสียหน่อย ท่านจักเห็นพระศาสดา ในเวลาที่เสด็จมา. ทารุจีริยะ. ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าไม่รู้อันตรายแห่งชีวิตของพระศาสดาหรือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้หยุด ไม่ได้นั่งในที่ไหน เดินมาสิ้นทาง ๑๒๐ โยชน์โดยคืนเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าพอเห็นพระศาสดาแล้วจึงจักพักเหนื่อย
พาหิยะนั้น กล่าวอย่างนั้นแล้ว มีทีท่าเร่งร้อน๑เข้าไปยังกรุงสาวัตถีเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตด้วยพุทธสิริอันหาที่เปรียบมิได้ คิดว่า "นานหนอ เราเห็นพระโคดมสัมมาสัมพุทธะ" ดังนี้แล้ว ก็น้อมตัวเดินไปตั้งแต่ที่ๆ ตนเห็น ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ในระหว่างถนน จับที่ข้อพระบาททั้งสองแน่น แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า "พระเจ้าข้าขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์, ขอพระสุคตจงทรงแสดงธรรม อันจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์สุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด"
ทารุจีริยะบรรลุพระอรหัตแต่ยังเป็นคฤหัสถ์
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสห้ามเขาว่า "พาหิยะ ไม่ใช่กาลก่อนเราเป็นผู้เข้าไปสู่ระหว่างถนนเพื่อบิณฑบาต" พาหิยะ ฟังพระพุทธดำรัสนั้นแล้วกราบทูลว่า "พระเจ้าข้า ผู้ท่องเที่ยวไปในสงสาร ไม่เคยได้อาหารคือคำข้าวเลยหรือ ข้าพระองค์ไม่รู้อันตรายแห่งชีวิตของพระองค์ หรือของข้าพระองค์, ขอพระองค์จงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด" แม้ครั้งที่ ๒ พระศาสดาก็ตรัสห้ามแล้วเหมือนกัน. ได้ยินว่าพระศาสดานั้นได้ทรงปริวิตกอย่างนั้นว่า "จำเดิมแต่กาลที่พาหิยะนี้เห็นเราแล้ว สรีระทั้งสิ้น (ของเขา) อันปีติท่วมทับไม่มีระหว่าง, ผู้มีปีติกำลังแม้ฟังธรรมแล้วจักไม่อาจแทงตลอด (ของจริง) ได้, เขาจงตั้งอยู่ในอุเบกขาคือความมัธยัสถ์ก่อน, แม้ความกระวนกระวายของเขาจะมีกำลังเพราะเป็นผู้เดินมาสิ้นทาง ๑๒๐ โยชน์โดยคืนเดียวเท่านั้น, แม้ความกระวนกระวายนั้นจงระงับเสียก่อน" เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสห้ามถึง ๒ ครั้ง ถูกเขาอ้อนวอนแม้ครั้งที่ ๓ ประทับยืนในระหว่างถนนนั่นเอง ทรงแสดงธรรมโดยนัยเป็นต้นว่า "พาหิยะ เพราะเหตุนั้น เธอพึงศึกษาในศาสนานี้ อย่างนั้นว่า "เมื่อรูปเราได้เห็นแล้ว รูปจักเป็นเพียงเราเห็น" พาหิยะนั้นกำลังฟังธรรมของพระศาสดานั้นแล ยังอาสวะทั้งหมดให้สิ้นไป บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ แล้ว ก็แลขณะนั้นนั่นเองเขาทูลขอบรรพชากะพระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกตรัสถามว่า "บาตรจีวรของเธอครบแล้วหรือ" ทูลตอบว่า "ยังไม่ครบ" ทีนั้นพระศาสดาตรัสกะเขาว่า "ถ้าอย่างนั้น เธอจงแสวงหาบาตรจีวร" แล้วก็เสด็จหลีกไป
ได้ยินว่า พาหิยะนั้นกระทำสมณธรรมสิ้น ๒ หมื่นปี คิดว่า "ธรรมดาภิกษุได้ปัจจัยด้วยตนแล้ว ไม่เหลียวแลผู้อื่น บริโภคเองเท่านั้นจึงควร" ดังนี้แล้ว ไม่ได้กระทำการสงเคราะห์ด้วยบาตรหรือจีวร แม้แก่ภิกษุรูปหนึ่ง เพราะฉะนั้น พระศาสดาทรงทราบว่า "บาตรจีวรอันสำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ จักไม่เกิดขึ้น" จึงไม่ได้ประทานบรรพชา ด้วยความเป็นเอหิภิกษุแก่เขา. แม้พาหิยะนั้นแสวงหาบาตรจีวรอยู่นั่นแล ยักษิณีคนหนึ่งมาด้วยรูปแม่โคนม ขวิดถูกตรงขาอ่อนข้างซ้าย ให้ถึงความสิ้นชีวิต
พระศาสดาเสด็จเที่ยวบิณฑบาต ทรงกระทำภัตกิจเสร็จแล้วเสด็จออกไปพร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก ทรงเห็นสรีระของพาหิยะถูกทิ้งในที่กองขยะ จึงทรงบัญชาภิกษุทั้งหลายว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงยืนใกล้ประตูเรือนแห่งหนึ่ง ให้นำเตียงมาแล้ว นำสรีระนี้ออกจากเมืองเผาแล้วกระทำสถูปไว้" ภิกษุทั้งหลายกระทำดังนั้นแล้ว; ก็แลครั้นกระทำแล้วไปยังวิหารเข้าเฝ้าพระศาสดา ทูลบอกกิจที่ตนกระทำแล้ว ทูลถาม อภิสัมปรายภพของพาหิยะนั้น
ทารุจีระเลิศในทางขิปปาภิญญา (ตรัสรู้เร็ว)
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกความที่พาหิยะนั้นปรินิพพานแล้วแก่ภิกษุเหล่านั้น, ทรงตั้งไว้ในเอคทัคคะ๑ว่า "ภิกษุทั้งหลาย พาหิยะทารุจีริยะ (ผู้นุ่งผ้าเปลือกไม้) เป็นเลิศกว่าภิกษุผู้สาวกของเรา ผู้ตรัสรู้เร็ว" ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายทูลถามพระศาสดาว่า "พระเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า 'พาหิยะ ทารุจีริยะ บรรลุพระอรหัต, เขาบรรลุ พระอรหัตเมื่อไร"
พระศาสดา ในกาลที่เขาฟังธรรมของเรา ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุ ก็พระองค์ตรัสธรรมแก่เขาเมื่อไรเล่า
พระศาสดา เรากำลังเที่ยวบิณฑบาต ยืนในระหว่างถนนกล่าวธรรมแก่เขา
ภิกษุ พระเจ้าข้า ก็ธรรมที่พระองค์ประทับยืนในระหว่างถนนตรัสแล้ว มีประมาณเล็กน้อย เขายังคุณวิเศษให้บังเกิดด้วยธรรมมีประมาณเพียงนั้นอย่างไร
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะภิกษุเหล่านั้นว่า "ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายอย่านับธรรมของเราว่า 'น้อยหรือมาก' ด้วยคาถาว่าพันหนึ่งแม้เป็นอเนกที่ไม่อาศัยประโยชน์ ไม่ประเสริฐ ส่วนบทแห่งคาถาแม้บทเดียวอาศัยประโยชน์ ประเสริฐกว่า" ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
"หากว่า คาถาแม้พันหนึ่ง ไม่ประกอบด้วยบทเป็นประโยชน์ [ไม่ประเสริฐ] : บทแห่งคาถา บทเดียว ซึ่งบุคคลฟังแล้ว สงบระงับได้ประเสริฐกว่า"
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า เอก คาถาปท ความว่า แม้คาถาๆ เดียวเห็นปานนี้ว่า "ความไม่ประมาท เป็นทางอมตะ ฯลฯ เหมือนคนตายแล้ว" ประเสริฐกว่า
บทที่เหลือพึงทราบตามนัยก่อนนั่นแล
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล
เรื่องพระทารุจีริยเถระ จบ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น