รูปธรรมและอรูปธรรมเกิดร่วมกัน อรูปธรรมและรูปธรรมเกิดร่วมกัน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ธรรม คือ อะไร? ยังไม่ต้องใส่ชื่อก็ได้ ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงทุกอย่างทุกประการ เป็นธรรม เช่น เห็น เป็นธรรม ได้ยิน เป็นธรรม โกรธ เป็นธรรม ติดข้อง เป็นธรรม ความละอาย เป็นธรรม ความเข้าใจ เป็นธรรม สี เป็นธรรม เสียง เป็นธรรม เป็นต้น เพราะมีจริง เป็นสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตนๆ ซึ่งไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรม ไม่ว่าจะมีชื่อว่าอย่างไร ธรรม ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ เมื่อกล่าวถึง ธรรม แล้ว ก็เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่มีจริง สำหรับสิ่งที่มีจริงนั้น ก็แยกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ สภาพธรรมที่เป็นนามธรรม (จิต เจตสิกและพระนิพพาน) และ รูปธรรม เมื่อว่าโดยความหมายแล้ว นามธรรม เป็นสภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ (อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตรู้) เช่น เห็น เป็นนามธรรม เพราะเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ ในขณะนั้น มีจิตเห็น พร้อมทั้งเจตสิก เกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัยแล้วดับไป เป็นต้น ซึ่งได้แก่ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) และ เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็อาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิต ตัวอย่างเจตสิก เช่น โลภะ โทสะ โมหะ ผัสสะ เวทนา เจตนา เป็นต้น) [นอกจากนั้น ก็ยังมีนามธรรม อีกประเภทหนึ่ง คือพระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์]
รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่รู้อะไร ไม่รู้อารมณ์เหมือนอย่างนามธรรม รูปธรรม มีทั้งหมด ๒๘ รูป มี สี เสียง กลิ่น รส เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว เป็นต้น
อรูปธรรม คือ สภาพธรรมที่ไม่ใช่รูป นั่นก็คือ นามธรรม ที่เป็น จิต เจตสิก เป็นต้น เป็นสภาพธรรรมที่รู้อารมณ์ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส คิดนึก โลภ โกรธ หลง เหล่านี้ ล้วนแต่เป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ และ เป็นสภาพธรรมที่เป็นอรูปธรรม คือ นามธรรม ครับ
ซึ่งคำถามที่ว่า ให้ยกตัวอย่าง รูป และ อรูป (นาม) ที่เกิดพร้อมกัน ในชีวิตประจำวัน ในความเป็นจริง มีหลายนัย บางครั้ง รูปก็เกิดก่อนนาม เกิดก่อนจิต เจตสิก บางครั้งรูปก็เกิดที่หลัง จิต เจตสิก แต่ก็มีบางนัย บางครั้ง ที่ จิต เจตสิก ที่เป็น อรูป หรือนามธรรม เกิดพร้อม รูปธรรม ยกตัวอย่างในชีวิตประจำวัน ขณะที่ โกรธ ขณะนั้น ก็มีรูปที่เกิดพร้อมกับ โทสมูลจิต ทำให้ หน้าตาเปลี่ยนไป เป็นต้น ขณะที่อาย เป็นโทสมูลจิต ก็มี รูปเกิดร่วมด้วย ทำให้หน้าแดง เป็นต้น นี่คือ การยกตัวอย่างในชีวิตประจำวัน ที่เป็นการแสดงถึง รูปที่เกิดพร้อมจิต ครับ ซึ่งรูปที่เกิดจากจิต เป็นเหตุ และ เกิดพร้อมกันนั้น เรียกว่า จิตตชรูป ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความเป็นจริงของธรรม เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงได้ มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมแล้ว ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้เลย
ก็ต้องตั้งต้น ตั้งแต่คำแรกเลยที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจโดยตลอด นั่นก็คือ คำว่าธรรม คำว่าธรรม เป็นคำมาจากภาษาบาลี แต่ถ้าเป็นคำไทยแล้วก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ แล้วสิ่งที่มีจริงๆ นั้น คือ อะไร? คือ ขณะนี้หรือไม่? ที่กำลังเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ขณะที่เป็นกุศล ความดีงามเกิดขึ้นเป็นไป มีเมตตา ให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม เป็นต้น หรือ ในทางตรงกันข้าม ขณะที่อกุศลเกิด ไม่ว่าจะเป็นความติดข้องยินดีพอใจ หรือ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ตลอดจนถึงสิ่งที่ไม่ดีประการอื่น ล้วนเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ นอกจากนั้นแล้ว สิ่งที่มีจริง ที่ไม่ใช่สภาพรู้ คือ รูปธรรมก็มีจริงๆ สี มีจริง เสียงมีจริง เป็นต้น เหล่านี้ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนเลย ยิ่งถ้าได้สะสมความเข้าใจไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งจะมั่นคงว่า สิ่งที่มีจริงๆ นั้นคือ ขณะนี้ที่เป็นนามธรรมกับรูปธรรมนั่นเอง
นามธรรม คือ จิตและเจตสิก จะไม่มีทางเกิดร่วมกันกับรูป เพราะเป็นธรรมที่เข้ากันไม่ได้ ไม่เหมือนนามธรรม กับ นามธรรม คือ จิตและเจตสิกซึ่งต้องเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน แต่สำหรับรูปธรรมแล้ว สามารถเกิดพร้อมกันกับนามธรรม ได้ แต่ไม่ใช้คำว่า เกิดร่วมกัน เช่น ในขณะแรกของชาตินี้ ปฏิสนธิจิตเกิด (นามธรรม วิบากจิตและเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย) ในขณะนั้น ก็มีรูป ๓ กลุ่ม ที่เกิดจากกรรม เกิดพร้อมกันเลยในขณะนั้น คือกลุ่มของกายปสาทรูป กลุ่มของหทยรูป กลุ่มของภาวรูป ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...