ต้นตอที่แท้จริง

 
lovedhamma
วันที่  5 ก.พ. 2557
หมายเลข  24420
อ่าน  2,909

เผอิญได้รู้จักกับคำพูดๆ หนึ่งที่ว่า ถ้าพิจารณาให้ละเอียดที่สุดของสภาพธรรม ก็คือ

พ่อ ก็เปรียบเหมือนอวิชชา และแม่ เปรียบเหมือนกิเลสนี่เอง ที่ทำให้สัตว์เกิด อยากทราบว่า ที่มาที่ไปของคำพูดตรงนี้มันมีรายละเอียดอย่างไรครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 5 ก.พ. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

หากพิจารณาความละเอียดของธรรมลงไปในเรื่องบิดามารดาที่แท้จริงแล้ว ก็จะเป็นประโยชน์ที่จะเป็นไปในการดับกิเลส เพราะในความเป็นจริงผู้ที่เป็นมารดาบิดา บิดาที่แท้จริงคือ กรรมที่บุคคลทําไว้เป็นดังเช่น มารดาบิดา ที่ทำให้เกิดขึ้นมา เกิดปฏิสนธิจิตได้เพราะอาศัยกรรมเป็นปัจจัยและที่ละเอียดลงไปกว่านั้น มารดา บิดาที่แท้จริงคืออวิชชา ความไม่รู้ที่เป็นต้นเหตุให้สัตว์เกิด เพราะมีอวิชชาจึงทำกรรมต่างๆ และเป็นเหตุให้สัตว์เกิดและตาย ไม่มีที่สิ้นสุด นํามาซึ่งทุกข์ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ควรฆ่ามารดา คือ กิเลส มีความไม่รู้และความเห็นผิด

ดังข้อความในพระไตรปิฎกที่แสดงเรื่องมารดา ที่เป็นสภาพธรรมคืออะไร

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖- หน้าที่ 642

ก็กำหนดนามรูป โดยนัยดังกล่าวแล้ว กำหนดอยู่ว่าอะไรหนอเป็นเหตุแห่งนามรูปนี้ ครั้นเห็นโทษในอเหตุวาทะ และเหตุวาทะ อันแตกต่างกัน จึงแสวงหาเหตุและปัจจัยของนามรูปนั้น ดุจแพทย์ครั้นเห็นโรคแล้วจึงตรวจดูสมุฏฐานของโรคนั้น จึงเห็นธรรม ๔ เหล่านี้ คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ว่าเป็น เหตุ เพราะเป็นเหตุให้เกิดนามรูป และว่าเป็นปัจจัย เพราะมีอาหารเป็นปัจจัยอุปถัมภ์.กำหนดปัจจัยแห่งรูปกายอย่างนี้ว่า ธรรมทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นต้น เป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่กายนี้ เหมือนมารดา เป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่ทารก มีกรรมทำให้เกิด เหมือนบิดาทำบุตรให้เกิด มีอาหารเลี้ยงดูเหมือนแม่นมเลี้ยงดูทารก แล้วกำหนดปัจจัยแห่งนามกายโดยนัยมีอาทิว่า อาศัยจักษุและรูป จักขุวิญญาณย่อมเกิด. เมื่อกำหนดอยู่อย่างนี้ ย่อมตกลงใจได้ว่า ธรรมแม้ที่เป็นอดีตและอนาคต ย่อมเป็นไปอย่างนี้เท่านั้นเหมือนกัน.

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

นามรูป ขณะเกิดนั้น มีมารดาคือ อวิชชา คือโมหะ-ความไม่รู้ มีตัณหา คือ โลภะ มี อุปาทาน คือ โลภะที่มีกำลัง และมี บิดาคือ เจตนาเจตสิกที่กระทำกรรม ธรรมะ ๔ อย่าง อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นมารดา และ เจตนาคือกรรมเป็นบิดานั้น เป็นคำอุปมา ว่าเกิดมา จะมีแต่บิดาหรือมารดาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีทั้งบิดาและมารดาจึงเกิดมาได้..

ขณะนี้มีมารดาไหม? ขณะนี้มีเห็น ก็ติดข้อง มีอวิชชา เปรียบเหมือนมารดา ก็ไม่รู้ก็ติดข้อง ยึดมั่น ก็ย่อมมีการกระทำกรรมซึ่งเปรียบเหมือนบิดา เพราะฉะนั้นทั้งบิดามารดาจึงเป็นเหตุให้เกิดนามรูป เกิดในภพภูมิต่างๆ และ กรรม ยังไม่ใช่ให้เกิดในปฏิสนธิกาลเท่านั้น ยังเป็นเหตุให้เกิดนาม-รูป ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มีจักขุปสาท โสตปสาท มีจิตเห็น จิตได้ยิน

เมื่อฆ่าบิดาและมารดา คือ อวิชชาดับ สังขารจึงดับ เมื่อสังขารดับ นาม-รูป จึงดับ...

[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ -หน้าที่ ๑๖๕

มาตรํ ปิตรํ หนฺตฺวา ราชาโน เทฺว จ ขตฺติเย

รฏฐํ สานุจรํ หนฺตฺวา อนีโฆ ยาติ พฺราหฺมโณ.

" บุคคลฆ่ามารดาบิดา ฆ่าพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ทั้งสอง และฆ่าแว่นแคว้นพร้อมด้วยเจ้าพนักงานเก็บส่วยแล้ว เป็นพราหมณ์ ไม่มีทุกข์ ไปอยู่."

ก็ในพระคาถานี้ บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยว่า ตัณหา ชื่อว่ามารดา เพราะให้สัตว์ทั้งหลายเกิดในภพ ๓ เพราะบาลีว่า "ตัณหายังบุรุษให้เกิด."

อัสมิมานะ ชื่อว่าบิดา เพราะอัสมิมานะอาศัยบิดาเกิดขึ้นว่า "เราเป็นราชโอรสของพระราชาชื่อโน้น หรือเป็นบุตรของมหาอำมาตย์ของพระราชาชื่อโน้น" เป็นต้น.

ขอยกตัวอย่างในพระอภิธรรมแสดงอวิชชาเป็นบิดาด้วย...

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 458

ว่าด้วยนิเทศอวิชชาเป็นปัจจัย (บาลีข้อ ๒๔๖)

บัดนี้ เป็นกถาว่าโดยพิสดาร ด้วยสามารถแห่งนิเทศวาร จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ดังนี้ ในพระบาลีนั้น เมื่อจะทรงแสดงสังขารทั้งหลาย อันมีอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะบุคคลเมื่อจะพูดถึงบุตร ก็ย่อมกล่าวถึงบิดาก่อน ด้วยว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ บุตรก็เป็นคำพูดได้ดีว่าบุตรของนายมิต บุตรของนายทัตตะ ดังนี้ ฉะนั้น พระศาสดาทรงเป็นผู้ฉลาดในเทศนา เพื่อทรงแสดงอวิชชาเช่นเป็นบิดาด้วยอรรถว่า ยังสังขารทั้งหลายให้เกิดก่อน จึงตรัสคำว่า ตตฺถ กตมา อวิชฺชา ทุกฺเข อญฺญาณํ (ในปัจจยาการเหล่านั้น อวิชชาเป็นไฉน? ความไม่รู้ทุกข์) เป็นต้น.

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 5 ก.พ. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอเชิญอ่านคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้ที่นี่ครับ

คราวก่อนได้ฟังเรื่องกิเลสที่เป็นดุจมารดาบิดาโดยนัยกว้างไปแล้ว คราวนี้ลองฟังโดยนัยเจาะจงว่า กิเลสอะไรที่ทั้งให้กำเนิด หล่อเลี้ยง นำทุกสิ่งมาให้ แถมยังรักใคร่ดูแลดุจมารดา และกิเลสอะไรที่ให้กำเนิดมีความเป็นใหญ่ ถือตน ดุจบิดา แล้วจะฆ่าคือดับกิเลสนี้ได้ด้วยอะไร

ผู้ให้กำเนิดที่ต้องถูกฆ่า

สุ. โลภะเป็นความติดข้อง อวิชชา คือ ความไม่รู้ ๒ อย่างก็ต่างกันแล้ว เพราะอวิชชาไม่สามารถจะติดข้องได้ ถูกต้องไหมคะ อวิชชาเป็นอวิชชา คือ ไม่รู้ จะไปติดข้องไม่ได้หรือจะไปสำคัญตนก็ไม่ได้ เพราะว่าอวิชชาเป็นความไม่รู้ แต่ว่าตัณหา เป็นความติดข้อง เป็นความพอใจ เหมือนมารดารักลูกให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เวลานี้ทุกคนมีโลภะหรือมีตัณหาซึ่งต้องการทุกสิ่งทุกอย่าง ตัวตัณหาเป็นตัวต้องการ และนำมาซึ่งความติดข้องเมื่อได้มาแล้วก็ต้องติดข้องด้วย

เพราะฉะนั้นใครเอาอะไรมาให้ลูกบ้างตั้งแต่เกิด ทุกคนมีมารดาบิดา เพราะฉะนั้นใครเป็นคนเลี้ยงดู ใครเป็นคนนำทุกสิ่งทุกอย่างมาให้ ก็เหมือนกับโลภะ ทำให้เกิดด้วยเพราะว่าทุกอย่างเป็นปัจจัยที่จะต้องทำให้เกิดขึ้น เกิดแล้วก็ยังต้องรักใคร่ดูแลอย่างยิ่งเพราะฉะนั้นจึงเปรียบตัณหาเหมือนกับมารดา และถ้ามีความสำคัญตนเมื่อไร เมื่อนั้นความสำคัญตนนั้นก็เหมือนบิดา ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีความสำคัญตนมากในความเป็นบิดามารดาก็มีความรัก มีความผูกพัน มีการให้เกิดขึ้นต่างๆ เพราะฉะนั้นเวลาที่มีโลภะแล้ว ก็มีการให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นๆ ๆ ๆ ไม่มีวันจบเลย แต่ว่าเวลาใดที่มีความรู้สึกสำคัญตน ความสำคัญตนนั้นใหญ่ไหมที่ว่า เป็นบิดา คือ ใหญ่ ที่จะแสดงความเป็นใหญ่ นั่นคือบิดา

กุลวิไล เพราะฉะนั้นท่านจึงทรงแสดงถึงธรรมที่เป็นฝ่ายกุศลธรรมที่ควรจะต้องละอุปมาเหมือนบิดามารดาที่จะต้องฆ่า ซึ่งถ้าผู้ที่ศึกษาธรรมโดยไม่แยบคาย อาจจะเข้าใจผิด กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ

สุ. ได้ยินแล้วก็ตกใจไงคะ แม้พระภิกษุในครั้งนั้นว่า ทำไมพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ก็ต้องอธิบายให้ฟังว่า เมื่อมารดาบิดาเป็นผู้ให้กำเนิด อวิชชาและอกุศลทั้งหลายที่ยังมี ก็ยังทำให้เป็นผู้มีสังสารวัฏฏ์ต่อไป

รู้ว่ามีอวิชชามาก และรู้ว่ามีกิเลสมาก รู้จริงๆ หรือเปล่า และถ้ารู้จริงๆ หรือเริ่มเข้าใจจริงๆ แล้ว เข้าใจอย่างไรต่อไป สังขารขันธ์ปรุงแต่งหรือยังคะ ที่จะเห็นโทษของอกุศลและทำกุศลทุกโอกาส เพราะว่าเวลาที่อกุศลจิตเกิดดับแล้วก็จริง สะสมสืบต่อจนหนักไม่เบาเลย ทุกครั้งที่อกุศลเกิด จิตใจจะไม่สงบวุ่นวายด้วยประการต่างๆ แต่ขณะนั้นก็ไม่รู้เลยว่า เป็นอกุศล บางคนเข้าใจว่ากำลังทำดี แต่ใจเดือดร้อน ขณะนั้นดีหรือเปล่าคะกิเลสนั้นจะหมดไปได้อย่างไร ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา ไม่ใช่ด้วยความเพียงตั้งใจ แต่ต้องเป็นปัญญาที่มีความเห็นถูก เข้าใจถูกจริงๆ ในสภาพธรรมแต่ละอย่างว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา

เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ จะตรงกันข้ามกับฝ่ายอกุศล ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้จริงๆ ก็ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจว่า ปัญญารู้อะไร เข้าใจอะไร ที่สำคัญที่สุด ที่ตรงที่สุดก็คือ ทุกอย่างเป็นธรรม.

อ้างอิงจากกระทู้นี้ครับ... ผู้ให้กำเนิดที่ต้องถูกฆ่า

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 5 ก.พ. 2557

จะฆ่าบิดา มารดาที่เป็นกิเลส ด้วยการอบรมปัญญา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 9 ก.พ. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
lovedhamma
วันที่ 12 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
peem
วันที่ 6 เม.ย. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ