คนคนหนึ่งสามารถปองร้ายเราด้วยคุณไสยได้มั้ยคะ?
ตอนนี้คิดว่ากำลังโดนทำเสน่ห์ใส่อยู่ค่ะ ทำอย่างไรดีคะ? หนูไม่อยากจะงมงาย แต่ใจหนึ่งก็กลัวเพราะ แฟนที่กำลังคบกันอยู่นี่ก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบเรื่องคุณไสย ชอบเล่นของ และก็รักๆ เลิกๆ กันหลายรอบ แต่หนูก็แปลกใจทำไมถึงลืมความผิดเขาไปได้ง่ายๆ เพราะความผิดที่เขาทำในแต่ละครั้งนั้นร้ายแรงเหลือเกิน จนวันนี้ไปเจอคาถาที่เขาคุยกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เป็นคาถาขอม ประมาณว่าให้รักให้หลง ให้คืนดีไม่ไปไหน... ช่วงก่อนกลับไปบ้านแม่ก็ทักว่าหน้าตาดูหมองคล้ำ ไม่ใช่คล้ำแบบคนไม่ได้นอนนะคะ คล้ำแบบคนไม่มีสง่าราศี เหมือนโดนของ แม่ว่างั้น... แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร จนไปเจอคาถาที่เขาคุยกับเพื่อนนี่แหละค่ะ ถึงเริ่มกลัวและสงสัยว่า อวิชชาเหล่านี้มันมีผลต่อเราบ้างมั้ยคะ ถ้าเขาคิดจะทำใส่เราจริงๆ ?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คุณไสย หรือ ไสยศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยความหลับไหล ทำให้ผู้คนหลับไหลด้วยความไม่รู้ และ ด้วยอกุศลธรรมประการต่างๆ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ส่วน พุทธศาสน์ หรือ พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของท่านผู้รู้ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ด้วยพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และ พระมหากรุณาคุณคือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
การโดนคุณไสย ก็เป็นเรื่องของการคิดนึก ที่คิดเอาเอง ว่าโดนคุณไสย เพราะในความเป็นจริง การได้รับสิ่งที่ดี หรือ ไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่ใคร ที่คุณไสย อยู่ที่กรรมในอดีตที่ทำมา หากกรรมดีให้ผล ใครจะทำอย่างไรกับเรา ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ และหากกรรมไม่ดีให้ผล แม้ไม่มีใครทำคุณไสย กรรมไม่ดีก็ให้ผล โดยไม่มีใครทำให้เลย เช่น การเกิดในนรก การที่ก้อนหินตกใส่ เป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงต้องมั่นคงในเรื่องของกรรมว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ไม่มีใครทำอะไรได้ นอกจากกรรมที่ตนเองทำมาเท่านั้น ครับ
เพราะฉะนั้น ถ้าเราแยกเรื่องผลของกรรม กับ ขณะที่เป็นอกุศลจิต ก็จะรู้ว่า ความจริง ขณะใดเป็นผลของกรรม ขณะไหนเป็นเหตุ ที่ไม่ใช่ผลของกรรม
ขณะที่คิดถึงคนอื่น ไม่ลืมคนอื่น และ ไม่ลืมความผิดของเขา ยังรัก หรือ ทุกข์ใจ ขณะนั้นเป็นอกุศลที่เกิดจากกิเลสของตนเอง ไม่ได้เกิดจากคุณไสย เวทมนตร์ อะไรทั้งสิ้น และ เมื่อคิดมากเรื่องคนอื่น ขณะนั้น ก็เป็นอกุศล เป็นโทสะ ซึ่ง ขณะที่เกิด อกุศลจิตบ่อยๆ ก็มีรูปที่เกิดจากจิตด้วย ทำให้หน้าตาเศร้าหมอง ไม่ดี อันไม่ได้เกิดจากคุณไสย แต่เกิดจากกิเลสของตนเองเท่านั้น สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าศัตรูที่ทำร้ายตนเองและเป็นศัตรูที่แท้จริง คือ กิเลส ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่คุณไสย ครับ เพราะฉะนั้น ขอให้มั่นคงในเรื่องของกรรม ไม่มีใครทำใครได้ นอกจาก กรรมของตนเอง และใจของตนเองที่มีกิเลสทำร้ายจิตใจเท่านั้น ครับ บุคคลผู้ที่ไม่รู้ เต็มไปด้วยความไม่รู้ คือ อวิชชา ก็มีความประพฤติเป็นไปคล้อยตามความไม่รู้ ซึ่งก็มีหลากหลายมาก เพราะถูกครอบงำไว้ด้วยความไม่รู้ ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรคือสิ่งที่ควรกระทำ อะไรคือสิ่งที่ควรงดเว้น จึงมีการกระทำอะไรต่างๆ ที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัยที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ทำให้ยิ่งเพิ่มกิเลสอกุศล เพิ่มความไม่รู้ และทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวต่อไป ซึ่งจะแตกต่างไปจากบุคคลผู้ที่รู้ ซึ่งเป็นการรู้ธรรม รู้สิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ที่ชีวิตจะเป็นไป คล้อยไปในทางที่ถูกที่ควรมากยิ่งขึ้น เพราะมีปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้นจากการได้ฟังพระธรรม ที่พรอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีปัญญาเป็นเครื่องนำทางชีวิตให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรยิ่งขึ้น เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลสของตนเอง จนกว่าจะสามารถดับได้ในที่สุด
ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากการได้รับผลของกรรมได้ ถ้าถึงคราวที่กรรมจะให้ผล, ชีวิตของแต่ละบุคคลที่ดำเนินไปในแต่ละวันแต่ละขณะ หลักๆ แล้ว ไม่พ้นไปจาก ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนหนึ่ง เป็นผลของกรรม และอีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนของการสะสมเหตุ ที่จะเป็นเหตุให้เกิดผลในภายหน้า และสะสมเป็นอุปนิสัยต่อไป ซึ่งมีทั้งดี บ้าง ไม่ดี บ้าง ตามการสะสมของแต่ละบุคคล สำหรับผลของกรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน เป็นผลที่เกิดขึ้นเพราะมีเหตุที่ได้กระทำแล้ว เราไม่สามารถที่จะไปตัดหรือไปแก้อะไรได้ เพราะเกิดแล้วเป็นไปแล้วในขณะนั้น โดยไม่มีใครทำให้เลย แต่สิ่งที่ควรพิจารณา คือ ควรอย่างยิ่งที่จะได้สะสมเหตุที่ดี คือ กุศลธรรม เพราะบุคคลผู้มีปัญญา พอท่านได้ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาในชีวิตประจำวัน จะเป็นเรื่องใดๆ ก็ตาม สามารถพิจารณาตามความเป็นจริงได้ว่า เป็นเพราะเราได้กระทำกรรมที่ไม่ดีไว้ กรรมไม่ดีถึงคราวให้ผล ผลที่ไม่ดีจึงเกิดขึ้น ก็เป็นเครื่องเตือนให้ท่านได้มีความเพียร มีความตั้งใจที่จะสะสมกุศล ซึ่งเป็นเหตุที่ดี สะสมเป็นที่พึ่งให้กับตนเอง ต่อไป
เพราะฉะนั้นแล้ว โอกาสที่สำคัญในชีวิต ก็คือ โอกาสที่จะทำให้ตนเองได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ โดยไม่จำเป็นต้องไปบวชก็ได้ สำคัญอยู่ที่ว่าจะเห็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหน ความเข้าใจพระธรรมนี้เอง จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้กุศลธรรมประการต่างๆ เจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน ในขณะที่กุศลธรรมเกิดขึ้น ก็ย่อมเป็นการขัดเกลาอกุศล เป็นการละคลายเหตุทีไม่ดี ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่มีใครสามารถทำอันตรายเราได้ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะอดีตอกุศลกรรมที่เคยกระทำไว้แล้วถึงความให้ผล , สิ่งที่ควรกลัว ไม่ใช่สิ่งที่เราไม่รู้จักเพียงแต่เชื่อๆ ตามๆ กันมา แต่สิ่งที่ควรกลัว อันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง คือ กิเลส ทั้งหลาย มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เพราะฉะนั้น ก็ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจมั่นคงในหนทางที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง เมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูกเพิ่มขึ้น ความวิตกกังวล ความกลัวในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็จะลดน้อยลงตามระดับขั้นของความเข้าใจ
ก็ขอให้ได้เป็นผู้มีกำลังใจที่ดีในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไป ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...