วันมาฆบูชา และ วันแห่งความรัก

 
sutta
วันที่  11 ก.พ. 2557
หมายเลข  24452
อ่าน  4,067

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วันมาฆบูชา และ วันวาเลนไทน์

วันมาฆบูชา ปีนี้ 2557 ตรงกับวันวาเลนไทน์ ที่โลกสมมติกัน ว่าเป็นวันแห่งความรัก เพราะฉะนั้น ชาวโลก หรือ บางท่าน ก็อาจจะนึกถึง วันแห่งความรัก ที่เป็นการให้ความรักต่อกัน หากแต่ว่า ในพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงว่า ความรักคือ อะไร

ความรัก มีหลากหลายนัย ทั้งสภาพธรรมที่เป็น กุศล อกุศล ความรัก ทางโลกโดยทั่วไปแล้ว คือ ความติดข้อง ยินดีพอใจ ที่เป็นโลภเจตสิก พระพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงว่า เมื่อมีรัก ก็มีทุกข์ คือ มีรัก ที่เป็นกิเลส คือ โลภะ ย่อมมีทุกข์ อาจจะคิดว่าสุข แต่ สุขไม่จริง เพราะ นำมาซึ่งทุกข์มากมาย ความรักที่ดี ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง คือ ความดี กุศลธรรมประการต่างๆ สมดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ตามความเป็นจริงว่า

ถ้าบุคคลรู้ว่าตนเป็นที่รักไซร้ ก็ไม่

พึงประกอบด้วยบาป เพราะว่าความสุขนั้น

เป็นผลที่บุคคลผู้ทำชั่วจะไม่ได้โดยง่ายเลย

เมื่อความตายเข้าถึงตัวแล้ว บุคคล

ย่อมละทิ้งภพมนุษย์ไป ก็อะไร ย่อมเป็น

ของของเขา และ เขาจะพาเอาอะไร

ไปได้ อนึ่ง อะไรเล่า จะติดตามเขาไป

ประดุจเงาติดตามตนไป ฉะนั้น.

จากพระคาถา พระเจ้าปเสนทิโกศล เข้าไปเฝ้าผู้มีพระภาคเจ้า ที่พระวิหารเชตวัน กราบทูลถึงความตรึกนึกคิดของพระองค์เกี่ยวกับผู้ไม่รักตน และ ผู้รักตน ว่าเป็นอย่างไร ความตรึกนึกคิดของพระองค์ มีว่า บุคคลผู้ไม่รักตน คือ ผู้ประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ ส่วนบุคคลผู้รักตน คือ ผู้ประพฤติสุจริตทางกาย ทางวาจา และทางใจ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสดับแล้ว ก็ได้ตรัสรับรองว่า เป็นความจริงอย่างนั้น

- ความรักที่ดี ที่เป็นประโยชน์กับตนเอง และ ผู้อื่น คือ กุศลธรรม ความดี ที่ตนเองได้กระทำ ที่เป็นความรัก ที่เป็นเมตตา ไม่ได้หวังผลตอบแทน ไม่ติดข้อง แต่ คิด พูด กระทำ เพื่อประโยชน์กับผู่อื่นอย่างแท้จริง

เพราะฉะนั้น วันมาฆบูชา ที่ตรงกับวันวาเลนไทน์ วันมาฆบูชา จึงมีความสำคัญดังนี้

@ ในวันมาฆบูชาพระสารีบุตรบรรลุเป็นพระอรหันต์

@ วันมาฆบูชา วันเพ็ญเดือน 3 พระพุทธเจ้าทรงปลงมายุสังขาร ใกล้จะปรินิพพาน

@ แสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในวันมาฆบูชาที่พระวิหารเวฬุวันที่พระเจ้าพิมพิสารถวาย

โอวาทปาติโมกข์ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ตรัสคำสอนที่เป็นโอวาทปาฏิโมกข์เหมือนกัน การไม่ทำบาปทั้งสิ้น หมายถึง ไม่ทำบาปด้วยศีล การยังกุศลให้ถึงพร้อม ด้วยสมถและวิปัสสนา การทำจิตของตนให้ผ่องใส หมายถึง ทำจิตให้ผ่องใสจากกิเลสทั้งหมดด้วยการบรรลุ เป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่คิดว่าพยายามทำให้จิตผ่องใส แต่จิตจะผ่องใสเพราะไม่มีกิเลส คือเป็นพระอรหันต์

โอวาทปาฏิโมกข์ กับ ความรักที่ดี ที่เป็นสภาพธรรมที่เป็นกุศลธรรม

การไม่ทำบาปทั้งสิ้น เพราะ มีความรัก ความเมตตา กับผู้อื่น เช่น งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ เพราะ มีเมตตา ความหวังดี กับสัตว์นั้น จึงไม่ฆ่า การไม่เบียดเบียน ประทุษร้าย เพราะ มีความรัก ความหวังดีด้วยเมตตากับผู้อื่น การไม่ทุจริต ไม่ลักทรัพย์ เพราะ มีเมตตา หวังดีกับเจ้าของทรัพย์ เป็นต้น เพราะฉะนั้น การไม่ทำบาปทั้งสิ้น ด้วยศีลก็ต้องเพราะ มี คุณความดี มีความรักด้วยเมตตา ที่เป็นกุศลธรรม

การยังกุศลให้ถึงพร้อม ผู้ที่ปรารถนาความสุขเพื่อตน มีความรักในตนเอง ย่อมกระทำสิ่งที่ดี มีประโยชน์ นั่นคือ การทำความดี โดยเฉพาะ การทำกุศลให้ถึงพร้อม คือ การเจริญอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม เพราะ ความดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ไม่มีทางถึงพร้อม นอกเสียจากการเจริญอบรมปัญญา นี่คือ การให้สิ่งที่ดีกับตนเอง เป็นการรักตนเองที่ถูกต้อง เพราะ ไม่เป้นการทำร้ายตนเอง ด้วยกิเลส แต่ เป็นการละกิเลส สมดังที่พระพทธเจ้าตรัสว่า ผู้ที่รักตน คือ ผู้ที่ทำความดีทางกาย วาจา และ ใจ

การทำจิตของตนให้ผ่องใส การดับกิเลสหมดสิ้น ชื่อว่า ทำจิตให้ผ่องใสจากกิเลส เป็นความรักตนเอง ที่ประเสริฐที่สุด เพราะ ไม่ต้องทำให้ตนเองจะต้องมาทกุข์ อีกเลยในการเกิดในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น ผู้ที่รักตนสูงสุด คือ ผู้ที่ดับกิเลสได้หมดสิ้น เป็นความรัก ที่ไม่เจือด้วยกิเลสเลย จึงเป็นโสภณจิต จิตที่ดีงามของ พระอรหันต์ อันเป็นความรักที่บริสุทธิ์จริงๆ ครับ

พระพุทธเจ้า ทรงมอบประทาน พระโอวาทปาฏิโมกข์ กับ พุทธบริษัท อันแสดงถึงความรัก ความเมตตา สูงสุด เหนือบุคคลใด ต่อ สัตว์โลก อันเป็นความรักที่บริสุทธ์ ปราศจากโลภะ ความติดข้อง ที่ไม่ได้หวังผลตอบแทน แต่ เพื่อประโยชน์กับผู้นั้นให้เกิดปัญญาของตนเอง และ ละกิเลส อันเป็นเหตุแห่งทุกข์

ดังนั้น เมื่อถึง วันมาฆบูชา และ ตรงกับวันวาเลนไทน์ หรือ ให้เคียงกันวันนั้น ก็พึงสำเหนียก ถึง พระพุทธเมตตา ที่ทรงแสดงความรักกับชาวโลก และ นึกถึงพระพุทธเมตตา ที่มีพระมหากรุณา และ ความรักที่บริสุทธิ์ ประทานมรดก คือ พระธรรม ในวันนี้ที่แสดง พระธรรม ให้สัตว์โลกได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ที่จะ ไม่ทำบาปทั้งสิ้น ยังกุศลให้ถึงพร้อมและ ทำจิตให้บริสุทธิ์ด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรม

เพราะฉะนั้น วันมาฆบูชา วันวาเลนไทน์ หรือ วันไหนๆ ก็เป็นเครื่องเตือนที่จะเป็นการแสดงออกทางกาย วาจา และใจเหมาะสมที่สุด กับบุคคลอื่น คือ การทำความดีให้กันแม้ไม่มีดอกกุหลาบ ไม่มีดอกไม้ แต่ มีความหวังดี ทำกุศลประการต่างๆ ให้กับผู้อื่น ขณะนั้นก็เป็นความรักที่ปราศจากความต้องการ ก็นำความสุขมาให้กับทั้งสองฝ่าย และ ไม่ลืมผู้มีพระคุณ มี บิดา มารดา เป็นต้น ตอบแทนพระคุณท่านเท่าที่ทำได้ และทำความดีทุกประการ และ ศึกษาพระธรรม อันเป็นการตอบแทนความรักของพระพุทธเจ้า ด้วยการเข้าใจพระธรรม ครับ

หากนึกถึงความรัก ในวันวาเลนไทน์ และ ในวันมาฆบูชา สิ่งที่ควรระลึกถึงเสมอ คือ การทำความดี และ ศึกษาพระธรรม เป็นสิ่งที่แสดงถึงความรักที่บริสุทธิ์ที่สุด และ เป็นประโยชน์กับตนเอง และ ผู้อื่นด้วย ครับ ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
สัมมาทิฏฐิ
วันที่ 11 ก.พ. 2557

เรียนขออนุญาตนำข้อความบางตอนไปเผยแผ่ต่อ และ ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
peem
วันที่ 11 ก.พ. 2557

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
papon
วันที่ 11 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 11 ก.พ. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เป็นประโยชน์มาก ขออนุโมทนา ครับ

และ ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็น ครับ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานอย่างยิ่ง เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าซึ่งจะได้เกื้อกูลสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก จึงทรงแสดงพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้โปรดเวไนยสัตว์ ตลอดระยะเวลา๔๕ พรรษา (เวลาพักผ่อนของพระองค์ในแต่ละวันๆ น้อยมากทีเดียว) ทรงพร่ำสอนอยู่บ่อยๆ เนืองๆ ก็เพื่อให้ผู้ฟังมีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติตาม จนกระทั่งสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้ในที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่า พระธรรมที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงแสดงนั้น ไม่มีความแตกต่างกันเลย เหมือนกันทั้งหมด และเป็นพระธรรมที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา และมีความเข้าใจอย่างแท้จริง เพราะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อละอกุศล เป็นไปเพื่อดับทุกข์โดยประการทั้งปวง เป็นไปเพื่อการไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์

แม้แต่ในเรื่องของการไม่ทำบาปทั้งสิ้น (ละชั่ว มี ความติดข้องต้องการ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ) การยังกุศลให้ถึงพร้อม (ทำความดี) และการยังจิตของตนให้ผ่องใส ซึ่งเป็นโอวาทปาติโมกข์ (สำสอนที่เป็นหลักสำคัญ) นั้น ก็มีอรรถที่ลึกซึ้งตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งสูงสุด คือ บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์เลยทีเดียว โดยที่ไม่มีตัวตนที่จะละชั่ว ไม่มีตัวตนที่จะทำความดี และไม่มีตัวตนที่จะยังจิตให้ผ่องใส แต่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม มีความเข้าใจพระธรรม และธรรมนั้นเอง จะทำหน้าที่ละชั่ว ทำความดี และยังจิตของตนให้ผ่องใส เพราะทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

ดังนั้น จึงต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาด้วยตนเองเป็นปกติในชีวิตประจำวัน โดยเป็นผู้เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) สะสมปัญญาไปตามลำดับ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเป็นไปเพื่อความพ้นจากการตกไปด้วยอำนาจของกิเลส พ้นจากการตกไปในอบายภูมิ พ้นจากการตกไปในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งจะขาดปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกไม่ได้เลย .

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 11 ก.พ. 2557

พระพุทธเจ้ามีพระเมตตาในพระราหุลและพระเทวทัตเสมอกัน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
j.jim
วันที่ 11 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 11 ก.พ. 2557

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Jans
วันที่ 12 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
napachant
วันที่ 12 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
lovedhamma
วันที่ 13 ก.พ. 2557

สาธุ สาธุ สาธุ ขอบคุณ และขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Bink
วันที่ 13 ก.พ. 2557

ขอบคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 13 ก.พ. 2557

... ความรักที่ดี ที่เป็นประโยชน์กับตนเอง และ ผู้อื่น คือ กุศลธรรม ความดี ที่ตนเอง ได้กระทำ ที่เป็นความรัก ที่เป็นเมตตา ไม่ได้หวังผลตอบแทน ไม่ติดข้อง แต่ คิด พูด กระทำ เพื่อประโยชน์กับผู้อื่น อย่างแท้จริง ...

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เซจาน้อย
วันที่ 14 ก.พ. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Chalee
วันที่ 14 ก.พ. 2557

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 14 ก.พ. 2557

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
ป้าวี
วันที่ 15 ก.พ. 2557

ในวันมาฆบูชาหลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์จบแล้ว ได้แต่งตั้งพระสารีบุตรเป็น พระอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้วยปัญญา และ พระโมคคัลลานะ เป็น พระอัครสาวกเบื้องซ้าย ผู้เลิศด้วยฤทธิ์

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
ขอนอบน้อม
วันที่ 20 ก.พ. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
pornchai.s
วันที่ 21 ก.พ. 2557

ขอความสุขความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมจงมีแด่ทุกท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
orawan.c
วันที่ 21 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
ขอนอบน้อม
วันที่ 24 มี.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
nattawan
วันที่ 26 มี.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ