กฎแห่งกรรมจะหนักเบาอย่างไร ก็ให้เกิดอกุศลวิบาก 7 ประเภท
เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
"อกุศลกรรมจะหนักเบาอย่างไร ก็ให้เกิดอกุศลวิบาก 7 ประเภท"
อย่างไรครับ ขอความกรุณาให้ปัญญาด้วยครับ ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรื่องกรรมและการให้ผลของกรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ในเบื้องต้นที่พอจะเข้าใจได้ คือ กรรมที่จะเป็นเหตุให้เกิดผลในภายหน้า คือ เจตนาที่สำเร็จเป็นกุศลกรรม และ อกุศลกรรม เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็ทำให้ผลเกิดขึ้นตามควรแก่เหตุ โดยที่เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่า กรรมใดจะให้ผลเมื่อใด สำหรับในชีวิตประจำวันนั้น ขณะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมก็ทำให้ได้รับผลที่ไม่ดี ไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ทำให้ได้รับสิ่งที่ดี เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย
ประโยชน์ที่เกิดขึ้นเมื่อได้ฟังได้ศึกษาในเรื่องกรรมและผลของกรรม คือ เข้าใจความจริง ควรที่จะได้สะสมกุศล งดเว้นจากการกระทำอกุศลกรรมโดยประการทั้งปวง เพราะอกุศลกรรม ให้ผลเป็นทุกข์โดยส่วนเดียวเท่านั้น
เนื่องจากเป็นเรื่องที่ละเอียดขอเชิญอ่านเพิ่มเติมจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ดังนี้
หมอ ทำไมผลของอกุศล จึงมีแต่อเหตุกวิบาก ทำไมไม่มี สเหตุกะ
ส. ก็กรรมที่ทำแล้ว ไม่ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล เหตุมี วิบากต้องมี เพราะฉะนั้น กุศลก็ทำให้เกิดอเหตุกกุศลวิบากด้วย เพราะว่าอเหตุกจิตมี ๑๘ เป็นกิริยา ๓ แล้วก็เป็นอกุศลวิบาก ๗ เป็นกุศลวิบาก ๘ เพราะฉะนั้น กุศลวิบาก ๘ ก็เป็นผลของกุศลกรรม เพราะฉะนั้น ไม่ว่ากรรมเป็นกุศล หรืออกุศล ต้องทำให้เกิดวิบาก อกุศลจิตก็ทำให้มีอเหตุกวิบาก คือไม่ประกอบด้วยเหตุเลย ไม่ต้องมีเหตุประกอบใดๆ ทั้งสิ้น วิบากก็เกิด แล้ววิบากนั้นก็ทำหน้าที่เพียงแค่ ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ สัมปฏิจฉันนะ ๒ สันตีรณะ ๓ นอกจากนั้นจะไม่ใช่วิบากของกรรมเดียวกันที่ให้ผลในวาระเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกุศลหรืออกุศล อย่างเวลานี้เราเห็นดีๆ ก็เป็นผลของกุศลกรรม แต่จิตเห็นไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยเลย เราได้ยินเสียงดีๆ ก็ตามแต่ ขณะที่การได้ยินเกิดขึ้น ได้ยินเสียงที่ดีก็เป็นผลของกุศลวิบาก เพราะฉะนั้น กุศลให้ผลแค่นี้ เห็นดี ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่เราต้องการเหลือเกิน เราติดแค่เห็น แค่ได้ยิน แค่ได้กลิ่น แค่ลิ้มรส แค่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสดีๆ แค่นี้ที่เราต้องการ แต่หลังจากนั้นแล้ว พอวิบากให้ผลแล้ว อกุศลเกิดต่อ หรือกุศลเกิดต่อ
เพราะฉะนั้น อันนี้สำคัญกว่า ทางฝ่ายอกุศล ให้ผลได้เพียงแค่นี้ คืออกุศลวิบาก ๗ อกุศลกรรมใดๆ มากมายสักเท่าไรก็ตาม สังฆาทิเสสหรืออะไรๆ ทั้งหมดตั้งแต่ใหญ่สุดจนถึงเล็กสุด ก็ให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ๗ เท่านั้น ไม่มากกว่านั้น แต่ทางฝ่ายกุศลมีการให้ผลประณีตกว่ามากตามลำดับ เพราะว่ามีมหาวิบาก ซึ่งเป็นผลของมหากุศล ที่ใช้คำว่า กามาวจรวิบาก ก็ได้ เพิ่มด้วย แต่ว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีครบหมด อย่างน้อยที่สุดกุศลกรรมที่ทำก็ทำให้กุศลวิบากอเหตุกะเกิดนี้ แน่นอน แต่ส่วนมหาวิบากจะเกิดมากน้อยแล้วแต่กรรมนั้นอีก อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีมหาวิบากครบ ๘ เลิศด้วยประการทั้งปวง ผู้ที่มีไม่ครบก็ได้ลดหลั่นกันไปตามกำลังของกรรมนั้นๆ
เพราะฉะนั้น เรามองเห็นสัตว์โลกเป็นที่ดูบาปและบุญ และผลของบาปและบุญ จะบุญมากบุญน้อยก็เป็นที่ดู เห็นความต่าง ย้อนกลับไปหาเหตุได้เลย แต่ว่าวิบากที่เท่ากันแน่นอน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย อันนี้แน่ ส่วนมหาวิบากนั้นก็ทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ ตทาลัมพนะ
หมอ อย่างไรก็ต้องให้ผล
ส. ให้ผล เมื่อกรรมที่ทำสำเร็จไปแล้ว เพราะฉะนั้น อกุศลกรรมทำให้เกิดอกุศลวิบากจิต ๗ ดวงเป็นอเหตุกะ แล้วกุศลกรรมก็ทำให้เกิดกุศลวิบาก ๘ ดวง ที่เป็นอเหตุกะ อันนี้จบไปแล้วชุดหนึ่ง แต่ว่าพิเศษออกมา คือ สามารถที่จะให้ผลเพิ่มเติม ทางฝ่ายกุศล เป็นมหาวิบาก มากน้อยต่างกันตามความวิจิตรของกรรม ถ้าเป็นกรรมที่ประณีตมาก ก็มีมหาวิบากได้ครบ ๘ ประกอบด้วยปัญญา ไม่ประกอบด้วยปัญญา แต่ถ้ากรรมที่ไม่ประณีตก็ลดหลั่นลงไป อย่างพวกที่มีมหาวิบากที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาเลยเขาก็มี เพราะเหตุว่ากุศลของเขาแม้ว่าประณีตสักเท่าไรก็ตาม แต่ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น เขาจะไม่มีฝ่ายมหาวิบากที่เป็นญาณสัมปยุตต์
หมอ อกุศลกรรมที่ทำ ถือว่าหยาบหมด
ส. ไม่ทราบว่า หมอจะเอาความหยาบเกินทางตา หู จมูก ลิ้น กายได้ไหม ที่ว่าเรามีทางที่จะได้รับผลของกรรม ๕ ทาง ตาสำหรับเห็น หูสำหรับได้ยิน จมูกสำหรับได้กลิ่น ลิ้นสำหรับลิ้มรส กายสำหรับกระทบสัมผัส อย่างความเจ็บปวด จะให้มันแรง สักเท่าไร มันก็ทางกาย ทางฝ่ายอกุศลก็ให้ผลที่ไม่ดี.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...