การที่คิดแค้นใจ แต่ไม่ได้พูดหรือทำออกมาจริง ๆ
การที่คิดแค้นใจนี่คือมโนกรรมใช่มั้ยคะ สมมติว่าเราแค้นใจลึกๆ แต่ไม่ได้อยากจะพูดตอบกลับหรือกระทำอะไรตอบกลับ เพราะกลัวผลบาปบ้าง กลัวเสียชื่อเราบ้าง ก็ยังถือว่ามโนกรรมนั้นไม่มีผลให้ไปนรกใช่มั้ยคะ หรือว่าเพียงแค่คิดแบบนี้ก็มีผลกระทบในอนาคตแล้ว เพราะคนสมัยนี้เค้าก็บอกว่า แค่ความคิดในใจก็ทำให้ชีวิตแย่ลงแล้ว ส่วนการที่คนอื่นมีความรู้สึกแค้นเคือง เราไม่สามารถตัดสินจากคำพูดดี ๆ หรือท่าทางภายนอกที่ดีๆ ได้ใช่มั้ยคะ ว่าเขาหายแค้นเคืองเราหรือยัง เพราะเคยเจอเหตุการณ์จริง หลายครั้งที่บางคนต่อหน้าจะยิ้มแย้ม ช่วยทำงานนั่นนี่ให้ และพูดจาดี แต่มารู้อีกทีก็แอบเอาคืนลับหลัง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความแค้นใจ เป็นอกุศลที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี ที่เป็นโทสะ ซึ่ง อกุศลก็มีหลายระดับ ทั้งที่เป็นเพียงอกุศลจิต แต่ไม่ถึงล่วงกรรมบถ มี ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น ก็เป็นเพียงอกุศลจิตเท่านั้น ไม่ได้สำเร็จเป็นกรรมที่จะให้ผล ครับ ไม่ต้องตกนรก เพียงคิดโกรธในใจเท่านั้น ครับ
ส่วน สภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ที่เป็นจิต เจตสิก การที่คนอื่นไม่ชอบเรา โกรธอาฆาต พยาบาทเหล่านี้ เป็นสภาพธรรมที่เป็นอกุศล สะสมในจิต เป็นนามธรรม ไม่สามารถเห็นได้ทางตา เพราะฉะนั้น เพียงอาการภายนอก ที่พูดดี ไม่ได้หมายความว่า จิตจะดีตามไปด้วย ครับ
อย่างไรก็ดี ควรที่จะเห็นใจ สงสารคนที่เกิด จิตอย่างนั้น เพราะขณะนั้น จิตไม่สงบ และ เป็นโทษกับบุคคลที่เกิดจิตอย่างนั้นเอง แม้ว่าเขาจะมาทำร้ายเราทีหลัง นั่นก็เป็นบาปของเขา ซึ่งเขาจะต้องได้รับทุกข์โทษ ในการเกิดในอบายภูมิ มี นรก เป็นต้น และ ได้รับเศษกรรมอีกมากมาย เพราะฉะนั้น ควรสงสาร ไม่ตอบโต้ เพราะน่าเห็นใจคนที่ทำบาป ส่วน การพิจารณาก็พึงสำเหนียกว่า หากไม่มีเหตุที่จะได้รับสิ่งที่ไม่ดี ย่อมไม่ได้รับ เพราะฉะนั้น แม้เราก็มีกรรมเป็นของของตน ที่จะต้องได้รับวิบากอย่างนั้น และ ไม่ควรทำเหตุที่ไม่ดี มีการตอบโต้ และ เห็นใจผู้ที่ทำบาปที่บุคคลนั้นจะได้รับสิ่งที่ไม่ดีต่อไป ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย และมีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ด้วย ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความอาฆาต ความไม่พอใจ ความโกรธ ความพยาบาท ความเคียดแค้น ความขุ่นใจ ก็เป็นสภาพความเป็นจริงของโทสะ ทั้งหมด ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แน่นอนว่าผู้ที่ยังไม่ใช่พระอนาคามี ยังต้องมีความโกรธเพราะเหตุว่ายังมีเชื้อของความโกรธที่ยังไม่ได้ดับอย่างเด็ดขาด, บางบุคคล เป็นผู้มีอัธยาศัยดี มีความประพฤติดี น่ารัก เกือบจะดูเหมือนว่าไม่เห็นโกรธ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว เมื่อยังไม่ใช่พระอนาคามีบุคคล ต้องโกรธแน่แม้ว่าจะไม่มาก เป็นเพียงความขุ่นใจ ไม่พอใจเมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ซึ่งมีมากในชีวิตประจำวัน เวลาเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็ยากที่จะไม่เกิดความขุ่นใจ อย่างนี้ก็เป็นลักษณะของโทสะเช่นเดียวกัน ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียด ก็จะเห็นได้ว่าเพียงแค่ขุ่นใจนิดเดียว ก็รู้สึกตัวได้ว่า นั่นคือลักษณะของความโกรธแล้ว แม้จะไม่มากถึงขั้นล่วงออกมาเป็นทุจริตทั้งทางกาย และทางวาจา ขณะที่อกุศลจิตเกิด จะบอกว่า ดีไม่ได้ ความจริงย่อมเป็นความจริง อกุศล ย่อมไม่ดี ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงต้องเป็นผู้มีความละเอียดและเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกคนที่ไม่ใช่พระอนาคามีบุคคล ยังต้องโกรธอยู่ โกรธแล้วก็ดับไป แต่ถ้าเพียงโกรธแล้วก็ดับไป ไม่คิดที่จะโกรธซ้ำอีก ก็ย่อมจะดีกว่าการผูกโกรธ ผูกอาฆาต ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ก็จะไม่เป็นความคิดโกรธแบบไม่จบ คิดอีก แล้วก็โกรธอีก จนกระทั่งไม่ลืม เวลาที่โกรธแล้วไม่ลืม สังขารขันธ์ก็จะปรุงแต่งต่อไปอีก ถึงกับเป็นความพยาบาท เป็นความแค้นเคืองที่คิดจะประทุษร้าย ปองร้ายผู้อื่น เป็นการกระทำบาป สร้างเหตุที่ไม่ดีกับตนเอง
ไม่มีใครรู้ได้ว่าความตายจะมาถึงตนเมื่อใด ควรสะสมอะไรไว้ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะไม่รู้ว่า จุติจิตจะเกิดเมื่อใด ถ้าอกุศลจิตเกิดก่อนตาย ย่อมเป็นผู้มีทุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า คือ เกิดในอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น ซึ่งจะประมาทไม่ได้เลยทีเดียว
ดังนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงเตือนให้พุทธบริษัทหมั่นเจริญกุศลทุกประการ ให้เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตประจำวัน แต่ละบุคคล มีเวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้วที่จะอยู่ในโลกนี้ และที่สำคัญ โอกาสที่ได้เกิดเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนานั้นเป็นช่วงเวลาที่หาได้ยากอย่างยิ่ง จึงไม่ควรที่จะล่วงเลยขณะอันมีค่าเหล่านี้ไป ควรอย่างยิ่งที่จะได้สะสมความดี และฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ต่อไป ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...