การละความโกรธด้วยการพิจารณาว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา

 
papon
วันที่  14 ก.พ. 2557
หมายเลข  24469
อ่าน  1,177

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

จากหัวข้อ 24465 การละความโกรธด้วยการพิจารณาว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เป็นการระงับได้ แต่ว่าการสะสมในจิตที่จะทำให้อนาคตถ้ากิเลสมีกำลังวันหนึ่งก็คงต้องล่วงศีล และต้องรับทุกข์โทษภัย การเจริญกุศลในชีวิตประจำวันก็มีน้อยมาก แล้วจะทำประการใดครับ ขอความอนุเคราะห์ด้วยครับ ขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 14 ก.พ. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ต้องเข้าใจความจริงครับว่า กิเลสสะสมมามาก และ ยังเป็นปุถุชน เพราะฉะนั้นโทสะ ความโกรธจึงเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดามาก และ พร้อมที่จะล่วงศีล เพราะกิเลสเป็นเหตุ มีความโกรธ เป็นต้นได้เป็นธรรมดา เพราะ ผู้ที่จะไม่ล่วงศีลเลยคือ พระโสดาบัน ครับ

ดังนั้น ก็ให้เข้าใจถูกว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา กิเลสเกิดแล้วก็เป็นธรรมดา ไม่เดือดร้อน แต่อยู่ด้วยความเข้าใจ ไม่มีตัวตนที่จะพยายาม จะทำยังไง เมื่อโกรธเกิด หรือ ไม่ให้ความโกรธเกิดขึ้น เพราะเป็นไปไม่ได้เลย จึงไม่มีตัวตนที่จะทำ ที่จะให้โกรธ หรือ ไม่โกรธ แต่ มีอยู่หนทางเดียว คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไป ปัญญาก็ค่อยๆ เจริญขึ้น ทีละน้อย ซึ่งยังละกิเลสไม่ได้เลย ต้องอบรมปัญญาอย่างยาวนาน นับชาติไม่ได้ ครับ

ดังนั้น กิเลส มีโลภะ ย่อมหลอกให้เรา จะทำ หลอกให้เราอยากจะละกิเลส ลืมความเป็นธรรม และ เป็นอนัตตาไปหมด และ ลืมหนทางที่ถูกต้อง คือ ฟังพระธรรมต่อไปครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
papon
วันที่ 14 ก.พ. 2557

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

ถ้าวันนี้ต้องตายลง แล้วต้องไปเกิดเป็นในอบายหรือต้องตกนรก 100,000 ปีแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วรับเศษของกรรมอีกซึ่งพระพุทธเจ้า (พระศรีอริยเมตไตร) ก็น่าจะยังไม่ตรัสรู้หรือกว่าจะได้ฟังพระธรรรมอีกก็อาจเป็นกัปป์ๆ หรือว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา บังคับบัญชาอะไรไม่ได้เลยครับ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัยครับ

ขอความคิดเห็นด้วยครับ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 14 ก.พ. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เรียน ความคิดเห็นที่ ๒ ครับ

ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสได้หมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องเกิด ชีวิตในแต่ละภพในแต่ละชาติ สั้นมาก ขณะนี้ยังไม่ละจากโลกนี้ไป เราอาจจะคิดไปต่างๆ นานา แต่ขอให้เข้าใจว่า ทุกขณะ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย สิ่งที่ยังไม่เกิดก็ยังไม่เกิด สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป สำคัญที่ขณะนี้จริงๆ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ความเข้าใจไม่สูญหายไปไหน แม้ว่าจะยังมากไปด้วยอกุศล มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น ซึ่งเป็นปกติของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ แต่ความเข้าใจพระธรรมก็เป็นที่พึ่งได้เสมอ สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกไ้ด้ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา จะทำให้ค่อยๆ ขัดเกลาอกุศลไปทีละเล็กทีละน้อย ด้วยความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ขณะที่กุศล เกิด นั้น อกุศลใดๆ เกิดไม่ได้เลย สาระสำคัญของชีวิตอยู่ที่การมีโอกาสได้ฟังพระธรรมและเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่ได้ฟัง มีค่ามหาศาลแล้ว ที่ได้ฟัง และจะต้องฟังต่อไป ไม่ละทิ้งโอกาสที่สำคัญอย่างนี้ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
papon
วันที่ 14 ก.พ. 2557

ขอบคุณอาจารย์ทั้งสองท่านครับและขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ