อัตตาและโลก มีความหมายว่าอย่างไร ?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบนมัสการพระคุณเจ้า ครับ
อัตตา ตามความเห็นของผู้ที่เห็นผิด คือ ตัวเรา ที่เป็น จิต เจตสิกซึ่ง มีความเห็นว่าเที่ยง ยั่งยืน ไม่เกิดดับ แต่ในความเป็นจริง อัตตา คือ จิต เจตสิก เกิดขึ้นและดับไป ไม่เที่ยงเลย
ส่วน โลก มีความหมายกว้างกว่า อัตตา โลก ที่สมมติขึ้น คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่แวดล้อมเรา เรียกว่าโลก ซึ่งสัตว์โลก มีความเห็นผิดว่าเที่ยง ยั่งยืน แท้ที่จริง โลกในวินัยของพระอริยเจ้า คือ จิต เจตสิก และ รูปด้วย รูปต่างๆ ที่ประชุมเรียกว่า ต้นไม้ ภูเขา และ จิต เจตสิก เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ไม่เที่ยงเลย ครับ ดังนั้น โลกว่าโดยสภวะธรรม คือ จิต เจตสิก และ รูปด้วย ครับ
โลก คือสภาพธรรมที่แตกสลาย แตกดับไป โลกตามความเป็นจริงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ไม่ได้หมายถึง โลกที่เราอยู่ที่เป็นสัณฐานกลม หรือเป็นโลกที่มีสิ่งต่างๆ มีต้นไม้ ภูเขา สิ่งต่างๆ อาศัยบนโลกใบนี้ นั่นไม่ใช่โลกที่เป็นสัจจะ ความจริง แต่เป็นโลกที่สมมติกันขึ้นมาว่าเป็นโลกครับ ที่เรียกว่าสัตวโลกและโอกาสโลก แต่โลกในวินัยของพระอริยเจ้าที่เป็นสัจจะ ความจริง หมายถึงสภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นและดับไป แตกสลายไปเรียกว่าโลก ก็ต้องเข้าใจว่าอะไรคือสภาพธรรมที่มีจริง ต้นไม้ ภูเขา สัตว์ บุคคล ไม่ใช่สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงคือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม นามธรรมก็เช่น จิต รูปธรรมก็เช่น ตา เสียง เป็นต้น สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมนี้เองที่เป็นโลก เพราะเกิดขึ้นและดับไป แตกสลายไป เสียง เกิดขึ้นและก็ดับไป จิต เกิดขึ้นและ ดับไป
การที่บัญญัติว่ามีโลกใบนี้ มีเรา มีสิ่งต่างๆ หากไม่มีสภาพธรรมที่มีจริง คือนามธรรมและรูปธรรม ไม่มีจิต ไม่มีสี ไม่มีเสียง ไม่มีสภาพธรรมอะไรเลย ก็ไม่มีการเกิดขึ้นของสิ่งใด และเมื่อไม่มีการเกิดขึ้นของสิ่งใด โลกนี้ก็ไม่มี ไม่มีคน เพราะคนก็คือการประชุมรวมกันของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ไม่มีต้นไม้ ไม่มีภูเขา เพราะต้นไม้และภูเขาที่บัญญัติขึ้นเพราะมีการประชุมรวมกันของรูปธรรม หากไม่มีนามธรรมและรูปธรรม ก็ไม่มีโลกที่สมมติกันขึ้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นเมื่อสภาพธรรมเกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้นครับ ดังนั้น โลก จึงมีความหมายกว้างกว่า อัตตา แต่ ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพครับ
...ถ้าไม่ได้ฟังฟังพระธรรม จะไม่มีทางเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ตามความเป็นจริงได้เลย เมื่อไม่มีความเข้าใจถูก ก็ทำให้มีการหลงยึดถือในสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล หรือ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด, สภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีแม้แต่อย่างเดียวที่จะเที่ยงยั่งยืน เพราะเมื่อเกิดขึ้นแล้วล้วนมีอันต้องดับไปเป็นธรรมดา หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อขัดเกลาความไม่รู้ ความเห็นผิด ตลอดจนถึงกิเลสประการอื่นๆ ครับ...
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ