อยากสอบถามความแตกต่างระหว่างวิบากกรรมกับอุปนิสัยตามวาสนาครับ
คือผมสงสัยความแตกต่างระหว่างวิบากกรรมกับอุปนิสัยตามวาสนาครับ
เพราะได้ไปอ่านเจอบอกว่าคนที่เป็นเพศที่สาม เพราะสับสนระหว่างวิบากกรรมไม่ดีของศีลข้อสาม หรือเพราะเป็นอุปนิสัยตามวาสนา เพราะเคยเกิดเป็นเพศเดียวกับเพศที่ชอบ จึงทำให้มีนิสัยและความชอบเพศเดียวกัน
แต่ผมว่าน่าจะผิดศีลนะครับ เพราะเป็นแล้ว จิตใจหดหู่ อาย ไม่เหมือนผู้อื่น
ไม่ทราบว่ามีหัวข้อพระสูตรหรืออรรถกถาเรื่องนี้ไหมครับ
ขอบคุณครับ อนุโมทนาสาธุนะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การรักและชอบเพศเดียวกัน มีหลายเหตุปัจจัย เพราะเป็นความละเอียดลึกซึ้งของสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก เป็นสำคัญที่สะสมมา ครับ
ซึ่งปัจจุบัน ผู้ที่ชอบรักเพศเดียวกันนั้น ที่เรียกว่า กะเทย ก็คือ มีร่างกายเป็นชาย มีปุริสภาวรูปที่เป็นรูปที่แสดงลักษณะความเป็นชายแต่ใจเป็นผู้หญิง ซึ่งในความจริงไม่ใช่กระเทยนะครับ กระเทยต้องไม่มีเพศชายและหญิงเลย ดังนั้นเราจะต้องแยกระหว่างจิตชาติต่างๆ คือ จิตที่เป็นผลของกรรม กับจิตที่ชาติ อกุศลหรือ กุศลว่าไม่เหมือนกัน
การเกิดเป็นกระเทย ไม่มีเพศเลย เป็นผลของกรรมที่ไม่ดีที่ได้ทำในอดีต ให้ผลทำให้ไม่มีเพศ แต่การเกิดเป็นผู้ชาย ที่มีปุริสภาวรูป แต่มีใจไปในทางผู้หญิง รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ความรู้สึกที่ชอบความเป็นผู้หญิงที่เกิดขึ้น เป็นเพราะการสะสมมาในอดีตที่เป็นอกุศลที่เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ผลของกรรมครับ ซึ่งชาติก่อนๆ อาจเกิดเป็นผู้หญิงมานับไม่ถ้วน ติดต่อกัน แต่เมื่อกลับมาเกิดเป็นผู้ชาย (ไม่ใช่กระเทยเพราะมีเพศ คือมีปุริสภาวรูป) ใจที่เคยยินดีพอใจในความเป็นหญิงติดต่อกันมานับชาติไม่ถ้วน ก็ทำให้มีความยินดี ชอบใจอยู่เพราะสภาพธรรมที่เป็นจิต เป็นสภาพธรรมที่สะสม สะสมสิ่งที่ดีหรือไม่ดี สิ่งที่ชอบและไม่ชอบไม่หายไปไหนครับ เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้กายจะเป็นผู้ชาย แต่ใจที่เคยยินดีความเป็นผู้หญิงก็เกิดขึ้นได้ครับ เพราะการเกิดเป็นผู้หญิงติดต่อกันมานั่นเองครับ อันนี้พูดถึงประเด็นกระเทย ที่เราเข้าใจกันในปัจจุบัน และก็มีความชอบผู้ชาย แม้ตัวเองจะเป็นผู้ชาย เพราะว่า เคยเกิดเป็นผู้หญิงมาก่อนในอดีตติดต่อกันนับชาติไม่ถ้วน ผู้หญิงก็ต้องชอบผู้ชายตามที่กล่าวมา จนมาถึงชาติปัจจุบันเกิดเป็นผู้ชายแต่ความชอบลักษณะของความเป็นผู้ชาย ที่เคยชอบในอดีตไมได้หายไปไหน ก็เกิดขึ้นได้ แม้ร่างกายจะเป็นผู้ชาย เพราะความที่เกิดเป็นผู้หญิงในอดีตชาติติดต่อกันมาหลายๆ ชาติมากนั่นเองครับ
ดังนั้น การรักชอบเพศเดียวกัน แม้ร่างกาย ยังเป็นผู้ชาย ที่ไม่ใช่คนมีเพศ สาเหตุสำคัญมาจากการสะสมมา ที่เป็นอุปนิสัย ที่เคยเกิดเป็นผู้หญิงมานับชาติไม่ถ้วน ทำให้ ยินดีชอบผู้ชายเมื่อเกิดเป็นผู้ชายในชาตินี้ นี่คือ อาศัย การสะสมอุปนิสัยประการหนึ่ง และก็การผิดศีลข้อ 3 ก็มีส่วนในการทำให้ชอบเพศเดียวกันได้เช่นกัน ครับ เหตุเพราะว่าการล่วงศีลข้อที่สาม ทำให้เกิดเป็นผู้หญิงนับชาติไม่ถ้วนเช่นกัน เพราะฉะนั้น จึงเป็นเหตุไกลอีกประการหนึ่งที่ทำให้มีนิสัยชอบเพศเดียวกัน เพราะ การเกิดเป็นผู้หญิงบ่อยๆ เพราะ ล่วงศีลข้อสาม เมื่อเกิดเป็นผู้ชาย จึงยังชอบผู้ชาย ชอบเพศเดียวกัน ครับ
ขออนุโมทนา
แสดงว่าทั้งสองอย่างเกี่ยวข้องกัน
แล้วอย่างคนรักเพศเดียวกันนี่ ถ้ารู้ถึงสาเหตุแล้ว
แล้ววิธีการแก้ คือต้องอย่าผิดศีลข้อ 3 อย่างเคร่งครัดใช่ไหมครับ
แล้วถ้ามีคู่เป็นเพศเดียวกัน ถือว่าสะสมอุปนิสัยหรือเปล่าครับ
ถ้าตายแล้วเกิดเป็นมนุษย์อีก ถ้าเป็นชายอีก ยังจะเป็นแบบนี้ใช่ไหมครับ
หรือไม่ควรมีคู่อีก แต่ให้ถือ ศีล ภาวนา ใช่ไหมครับ
ชาติหน้าจะได้เป็นเพศปกติครับ
ขอบคุณครับ สาธุ สาธุ สาธุ
เรียนความเห็นที่ 3 ครับ
ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชน ก็ยังล่วงศีลข้อ 3 ได้เป็นธรรมดา ครับ แม้ พระโพธิสัตว์ผู้มีปัญญามาก ก็ยังล่วงศีล ข้อ 3 ได้ และ ก็มีโอกาสชอบเพศเดียวกัน ด้วยกันทุกคน ดังนั้น หนทางที่ถูกต้อง คือ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ก็ ควรที่จะฟัง ศึกษาพระธรรม อบรมปัญญา และ เจริญกุศลทุกๆ ประการ เพื่อที่จะดับกิเลส ที่เป็นสาเหตุของการล่วงศีล สาเหตุของการทำไม่ดี และ เมื่อดับกิเลส ย่อมทำให้ไม่เกิด หมดทุกข์อย่างสิ้นเชิง ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์์นั้น
ที่ควรพิจารณา คือ ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวันของแต่ละบุคคลนั้นเป็นไปตามการสะสม มีทั้งส่วนที่ดี และ ไม่ดี ด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งแต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย สิ่งใดที่เคยประพฤติมาก็สะสมสืบต่อในจิตเป็นอุปนิสัยต่อไปในภายหน้า ทำให้มีพฤติกรรมอย่างที่เคยได้เป็นมา ซึ่งเป็นธรรมดาของจิตที่จะต้องเป็นอย่างนี้ คือ สะสมทั้งกุศล และ อกุศล ซึ่งจะเห็นได้ว่า ชาติหน้า หรือ ในชาติต่อๆ ไปจะเป็นคนอย่างไร มีความประพฤติเป็นไปอย่างไร นั้น ก็ขึ้นอยู่ที่ชาตินี้ ด้วยเช่นกัน
ดังนั้น จึงควรอย่างยิ่งที่แต่ละคนจะได้พิจารณาเพื่อเตือนตนเองอยู่เสมอว่า เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ดีแล้วจริงๆ ดีแล้วที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ คือ ดีกว่าการเกิดในอบายภูมิ และ เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ก็ควรทำความดี ประกอบกุศลกรรม ละเว้นความชั่ว ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ และ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมสะสมปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก สะสมเป็นที่พึ่งให้กับตนเอง ต่อไป เพื่อดับกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ในวัฏฏะได้ในที่สุด จึงจะเป็นผู้มีชีวิตไม่สูญเปล่าในชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...