ตามการสะสม - ไม่ละก็ไม่รู้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตามการสะสม
เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันของแต่ละคนให้ทราบว่า คิดอย่างไร ทำอย่างนั้น คิดอย่างไร พูดอย่างนั้น สะสมมาอย่างไร ความคิดก็เกิดตามการสะสม คิดที่ จะริษยา คิดที่จะตระหนี่ หรือคิดที่จะเมตตา นั่นก็แล้วแต่การสะสมทั้งสิ้น
ความรู้สีกตัวทั่วพร้อม
เป็นความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะนี้ มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีการกระทบสิ่งที่แข็งหรืออ่อน มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมไหม หมายความว่าขณะนั้น ไม่ใช่สติขั้นทาน ขั้นศีล แต่ว่าเป็นสติที่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนั้น
ทุกคนจะต้องตาย ควรเมตตากัน
ทุกคนจะต้องตาย ควรเมตตากัน อายุสังขารหาได้เป็นไปตามเฉพาะสัตว์ ที่ยืน นั่ง นอน หรือเดินอยู่เท่านั้นก็หาไม่ วัยย่อมเสื่อมไปทุกขณะที่ยังหลับตาและลืมตาอยู่ เมื่อวัยเสื่อมไปอย่างนั้นหนอ ในตน ซี่งเป็นทางอันตรายนั้นหนอ ต้องมีความพลัดพรากจากกัน โดยไม่ต้องสงสัย หมู่สัตว์ที่ยังเหลืออยู่ ควรมีเมตตาเอ็นดูกัน ส่วนที่ตายไปแล้ว ไม่ควรจะต้องเศร้าโศก (จากอนนุโสจิยชาดก)
กามทั้งหลายมีคุณน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
เป็นเพียงโสมนัสที่เกิดขึ้นในกามคุณ ๕ ด้วยอำนาจการเห็นเป็นต้น แต่โทษมีประการต่างๆ เป็นอันมากเป็นไปในปัจจุบันและสัมปรายภพ กามทั้งหลายมีคุณน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก แล้วโอวาทอย่างนี้ว่า เธอจงปฏิบัติสมณปฏิปทา จงคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย จงรู้จักประมาณในโภชนะ จงประกอบเนืองๆ ซึ่งความเพียรเป็นเครื่องตื่น ดังนี้
ไม่รู้ก็ไม่ละ
ตราบใดที่ไม่รู้จักลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ตามปกติในชีวิตประจำวัน จะดับกิเลสอะไรไม่ได้เลย
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณหมอ เป็นอย่างยิ่ง ครับ