ชุดเทปวิทยุ แผ่นที่ ๑๑ ครั้งที่ ๖๑๖
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
---ถอดคำบรรยายธรรม --
กราบเท้า บูชา พระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ถอดคำบรรยายธัมมะ แนวทางเจริญวิปัสสนา
ชุดเทปวิทยุ แผ่นที่ ๑๑ ครั้งที่ ๖๑๖
โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
แนวทางเจริญวิปัสสนา แผ่นที่ ๑๑
ขอเชิญรับฟัง....
ถ. ที่มีผู้ถาม พูดถึงเรื่องมีสติ โลภะ แล้วอาจารย์บอกว่า โลภะกับศรัทธาเป็นธรรมที่ใกล้เคียงกัน แต่ว่าเท่าที่ปฏิบัติมา สติเกิดก็มักจะพิจารณารวมๆ เป็นสภาพรู้ หรือเป็นนามธรรม ถ้าเราเรียนปริยัติมาน้อยๆ กับผู้ที่ไม่ได้เรียนมาเลย เราจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่า สภาพธรรมนี่เป็นศรัทธา เป็นเมตตา เป็นกรุณา แล้วอะไรๆ ซึ่งมีเยอะแยะจนจำไม่ได้ แต่เราก็ระลึกว่า เป็นสภาพรู้ เป็นสภาพนามธรรม ถ้าเราระลึกเพียงว่าเรารู้ว่าเป็นนามธรรม ต่อไปเราสามารถที่จะรู้รายละเอียดแยกไปเอง
สุ. โดยมากจะเป็นนึก ที่คิดว่ารู้แล้วว่าเป็นนามธรรม ถ้าไม่มีลักษณะจริงๆ ปรากฏแต่ละลักษณะให้รู้เฉพาะในขณะนั้นจริงๆ อย่างเวลานี้โลภะเกิด กำลังปรากฏ มีลักษณะให้รู้ แต่ถ้ารวมๆ นึกไปถึงสภาพธรรมอื่นๆ ด้วย แล้วก็รวมเป็นนามธรรม ก็ย่อมไม่ได้ศึกษาลักษณะของโลภะที่กำลังปรากฏ เฉพาะโลภะซึ่งกำลังปรากฏ เช่นเดียวกับทางตา มีสภาพธรรมทั้งการเห็นและการได้ยิน ใช่ไหม รวมๆ กันไปว่าเป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้เท่านั้นไม่ได้ เพราะเหตุว่านามธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้สีสันวัณณะที่ปรากฏทางตา ต่างกับนามธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้เสียงซึ่งปรากฏทางหู
เพราะฉะนั้น จะรวมกันว่า เห็นก็เป็นนามธรรม ได้ยินก็เป็นนามธรรมไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า ไม่ได้ระลึกที่จะศึกษารู้ลักษณะของธาตุรู้สีซึ่งกำลังเห็นทางตา ไม่ได้ศึกษารู้ลักษณะของธาตุรู้เสียงซึ่งรู้เสียงทางหู ผิดกับการรู้สีทางตา เพราะฉะนั้น การศึกษาที่จะเป็นการรู้ชัดในนามธรรม ต้องในขณะที่นามธรรมแต่ละลักษณะปรากฏให้รู้ สติจึงจะเป็นสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่าระลึกรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ซึ่งมีลักษณะต่างกัน โทสะเกิดขึ้น โลภะเกิดขึ้น ลักษณะของโทสะเป็นอย่างหนึ่ง ลักษณะของโลภะเป็นอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้น เวลาที่โลภะเกิด สติระลึกศึกษาในลักษณะของโลภะ ตรงกันข้ามกับลักษณะของโทสะ เวลาที่โทสะเกิด สติระลึกศึกษารู้ลักษณะที่เป็นโทสะ ซึ่งขณะนั้นอาจจะเนื่องจากทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจก็ได้ เพราะฉะนั้น การที่จะกล่าวว่า สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ต้องมีลักษณะแต่ละอย่างปรากฏให้เป็นความรู้ชัด รวมๆ ไปไม่ได้ ถ้ารวมๆ กันก็หมายความว่า เวลานี้ทางตากับทางหูก็คิดว่าเป็นนามธรรมเท่านั้น แต่ลักษณะจริงๆ ของนามธรรมที่รู้สี เป็นธาตุที่เห็นสี ลักษณะของนามธรรมที่รู้เสียง เป็นธาตุที่รู้เสียง ที่จะให้รู้ว่า เป็นธาตุรู้จริงๆ ต้องในขณะที่กำลังรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วจึงจะรู้ว่า ธาตุรู้ อาการรู้แต่ละอย่างนั้นไม่ใช่ตัวตน
ถ. ขณะที่สติเกิดนั้น เรามักจะพิจารณานานๆ บางทีก็ไม่นาน บางทีก็นาน แต่ถ้าพิจารณาไปนานๆ จะกลายเป็นเราไปจดจ้องหรือเปล่า ผมมักจะเตือนตัวเองว่า เราจะไปจดจ้องหรือเปล่า
สุ. อย่าคิดถึงเรื่องเวลาดีกว่าว่า นานหรือไม่นาน แต่เป็นการศึกษาจริงๆ ที่จะรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เหมือนอย่างการศึกษาทางโลก เวลาที่กำลังจะศึกษาที่จะให้เข้าใจ จะเป็นเลขคณิต หรือจะเป็นวิทยาศาสตร์ หรือจะเป็นวิชาหนึ่งวิชาใดก็ตาม ไม่คำนึงถึงเวลาใช่ไหมว่า ศึกษานานหรือว่าไม่นาน แต่ความรู้ความเข้าใจเกิดขึ้นเมื่อไร ขณะไหนก็ได้ จะน้อยหรือจะมากเป็นเรื่องของอนัตตา ซึ่งปรากฏความเป็นอนัตตาว่า แล้วแต่สติจะเกิดขึ้นเมื่อไร สติจะเกิดขึ้นมากหรือน้อย จะระลึกรู้ลักษณะของนามใดรูปใดทางไหน มากหรือน้อย ก็เป็นเรื่องของความเป็นอนัตตาจริงๆ ของสติ อย่างเวลาที่กำลังเห็นในขณะนี้ สติของบางท่านก็จะเกิดระลึก ศึกษา ระลึกแล้วต้องศึกษา อย่าเป็นระลึกแล้วรู้เลย เป็นไปไม่ได้ ที่ว่าจะระลึกแล้วรู้เลยว่า ไม่ใช่ตัวตน กำลังเห็นนี่ ศึกษาจริงๆ ที่จะรู้ว่า ขณะที่เห็นเป็นธาตุรู้ เพื่อที่จะได้รู้ชัดว่า เมื่อเกิดความรู้ในธาตุรู้แล้ว จะไม่สับสนกับรูปคือสิ่งที่ปรากฏทางตา เวลานี้รูปที่ปรากฏทางตากับเห็น แยกกันไม่ออก ยังสับสนอยู่ว่า เห็นเป็นอย่างไร
สิ่งที่ปรากฏทางตาต่างกับเห็นอย่างไร นี่เป็นความสับสน เพราะสติไม่ได้ระลึก แต่เวลาที่ระลึกในขณะที่กำลังเห็นนี้ ที่จะเป็นความรู้ คือ เริ่มจากการศึกษา ขณะที่กำลังเห็นระลึกได้รู้ว่า เป็นแต่เพียงธาตุรู้ เป็นแต่เพียงสภาพรู้ และขณะนี้เป็นสภาพที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา นี่คือการศึกษาในสภาพเห็นซึ่งเป็นนามธรรมทวารหนึ่ง เวลาที่ได้ยิน ขณะที่ได้กำลังยินเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ในเสียงที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น จะต้องมีสภาพที่กำลังปรากฏ แล้วก็มีการระลึกพร้อมกับการศึกษารู้ว่า ขณะนั้นเป็นสภาพรู้ เพื่อที่จะได้แยกได้ยินกับเสียงออกจากกัน เพราะเหตุว่าถ้าสติไม่เกิดก็เป็นความสับสนอีก แยกเสียงกับได้ยินไม่ออกอีก
เพราะฉะนั้น ลักษณะของนามธรรมแต่ละอย่างจึงต่างกัน แล้วสติก็รู้ชัดว่านามธรรมทางตานั้นก็เป็นอย่างหนึ่ง คือ เป็นสภาพรู้สีสันวัณณะที่ปรากฏทางตา นามธรรม สภาพรู้ทางหูก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่อันเดียวกันแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อสภาพธรรมไม่ใช่อันเดียวกัน สติและปัญญาสามารถที่จะแยกได้ ในภายหลังจึงจะประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมแต่ละลักษณะได้ สามารถประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ทางตา ปัญญารู้ว่าสภาพรู้ทางตาดับ ไม่ใช่รูปารมณ์ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตาดับ เพราะว่าสติกำลังระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพเห็นซึ่งเป็นสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ปัญญาสามารถรู้ว่า สภาพรู้เสียงดับ เพราะเหตุว่าขณะนั้นสติกำลังระลึกรู้ในธาตุรู้เสียง เพราะเหตุว่ามีการได้ยินและมีการระลึกได้ และมีการศึกษาในธาตุรู้เสียงที่กำลังปรากฏ จึงประจักษ์ได้ว่า ธาตุรู้เสียง คือ สภาพที่ได้ยินดับ ไม่ใช่เสียงดับ ปัญญาต้องรู้ชัดจริง ๆ ต้องเป็นการอบรมที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วก็เป็นความรู้ที่เพิ่มขึ้น ก่อนที่จะประจักษ์การเกิดดับ
ถ้าความรู้ยังไม่เพิ่มขึ้น อย่าคิดว่าจะประจักษ์การเกิดดับอะไรได้ อาจจะเข้าใจว่าประจักษ์แล้ว แต่แม้แต่ปัญญาก็ยังไม่เกิดขึ้นรู้ว่า นามธรรมทางตาเป็นอย่างไร ต่างกับนามธรรมทางหูอย่างไร ถ้ายังไม่รู้อย่างนี้ แล้วก็จะเข้าใจว่าประจักษ์การเกิดดับแล้ว ก็ย่อมไม่ตรงต่อสภาพธรรมตามความเป็นจริง
สำหรับการรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงเป็นเรื่องที่ยาก แต่ว่าสามารถที่จะอบรมปัญญาให้คมกล้าได้ในวันหนึ่ง เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก สำหรับความละเอียดของสภาพธรรม การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และการคิดนึกต่าง ๆ ทางใจ ซึ่งมีอยู่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน แต่ว่าเกิดดับสลับกันอย่างเร็วมาก พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่อง “วิถีจิต” หมายความถึงขณะที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส ที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และที่คิดนึก เพราะเหตุว่าสภาพของจิตเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ ถ้ามีจิตแล้วจะไม่มีอารมณ์ปรากฏให้จิตรู้ไม่ได้ เพราะเหตุว่าเมื่อมีสภาพรู้ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ แต่ว่าจิตบางขณะ บางครั้งไม่ใช่วิถีจิต ถ้าขณะใดที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่รู้อารมณ์ทางใจ ขณะนั้นถึงแม้ว่าจิตจะเกิดขึ้นกระทำกิจรู้อารมณ์ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าอารมณ์ที่จิตรู้นั้นคืออะไร เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นก็จะต้องมีการรู้อารมณ์ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดด้วย จะกล่าวว่ามีแต่ปฏิสนธิจิตโดยไม่มีอารมณ์ของปฏิสนธิจิตในขณะปฏิสนธิไม่ได้ แต่ก็ไม่มีใครในที่นี้ที่จะจำได้ หรือที่จะรู้ได้ว่า ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดมีอารมณ์อะไร เพราะฉะนั้น ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด แม้ว่าจะรู้อารมณ์ แต่ไม่ใช่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา คือ การเห็นในขณะนี้ ไม่ใช่กำลังได้ยินเสียงในขณะนี้ ไม่ใช่การได้กลิ่น ไม่ใช่การลิ้มรส ไม่ใช่การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หรือไม่ใช่การคิดนึกเป็นเรื่องราวต่าง ๆ ทางใจ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นสภาพของจิตเป็นจิตที่ไม่ใช่วิถีจิต เป็นจิตที่พ้นวิถี แต่จิตนั้นก็จะต้องมีอารมณ์ เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นดับไปแล้ว ระหว่างที่ยังไม่มีการเห็น เพราะเหตุว่าถ้าเป็นการเกิดในครรภ์ของมารดาก็ยังไม่มีจักขุปสาท โสตปสาท เพราะฉะนั้น ยังไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ยังไม่รู้อารมณ์ต่าง ๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายก็จริง แต่ว่าจะมีการรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายในภายหลัง
เพราะฉะนั้น ระหว่างปฏิสนธิจิตซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็มีจิตอื่นเกิดดับสืบต่อไว้ ยังไม่ถึงการสิ้นชีวิตไป โดยที่ยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้กลิ่น ยังไม่ลิ้มรส ยังไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ยังไม่รู้อารมณ์ทางใจ จะต้องมีจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อจากปฏิสนธิจิต กระทำภวังคกิจ หมายความว่าสืบต่อดำรงภพชาติ โดยที่ขณะนั้นไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ไม่ได้คิดนึกประการใดทางใจเลย แต่จิตก็เกิดดับสืบต่อเป็นภวังค์ต่อจากปฏิสนธิ แม้ในขณะนี้ ก่อนการได้ยิน ก่อนการเห็น ก่อนการได้กลิ่น ก่อนการลิ้มรส ก่อนการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ก่อนการคิดนึก จะต้องมีภวังคจิตสืบต่อหลายขณะทีเดียว ทุกท่านเห็นสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา เพราะมีจิตเห็นซึ่งเป็นจักขุวิญญาณทำกิจเห็น ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นจักขุวิญญาณที่กำลังเกิดขึ้นกระทำกิจเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก่อนเห็นแต่ละขณะต้องมีภวังคจิตมากมาย แล้วเวลาที่ผัสสะเกิดกับจิตกระทบสิ่งที่ปรากฏทางตา เริ่มที่จะรำพึง หรือน้อมไปสู่อารมณ์ที่ปรากฏทางตา จิตในขณะนั้นทำกิจอาวัชชนะ ได้แก่ปัญจทวาราวัชชนจิต หมายความว่า ยังไม่ทันเห็นเลย เป็นภวังค์อยู่เรื่อย ๆ เกิดดับสืบต่อเป็นภวังค์อยู่เรื่อย ๆ และจิตที่เกิดขึ้นรำพึงถึงอารมณ์ที่กระทบทางตา เป็นปัญจทวาราวัชชนจิต ยังไม่เห็น แล้วก็ดับไป ต่อจากนั้นจักขุวิญญาณก็เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเพียงขณะเดียว แล้วก็ดับไป ต่อจากนั้นก็เป็นจิตที่รับสิ่งที่ปรากฏทางตา รู้ต่อจากจักขุวิญญาณ จิตนั้นกระทำกิจสัมปฏิจฉันนะ คือรับอารมณ์ไว้ด้วยดี แล้วก็ดับไป ต่อจากนั้นสันตีรณจิตก็เกิดขึ้นกระทำกิจพิจารณาอารมณ์ที่ปรากฏ แล้วก็ดับไป แล้วต่อจากนั้นโวฏฐัพพนจิตก็กระทำกิจมนสิการอารมณ์ ซึ่งแล้วแต่ว่าปัจจัยที่สะสมมาจะทำให้เกิดกุศลจิตหรืออกุศลจิต ต่อไปโวฏฐัพพนะกระทำกิจแล้วก็ดับไป ต่อจากนั้นก็จะมีชวนจิต เป็นสภาพที่ชอบหรือไม่ชอบในอารมณ์ที่ปรากฏ จะเป็นโลภมูลจิต หรือโทสมูลจิต หรือโมหมูลจิต เกิดดับสืบต่อกัน ๗ ขณะ ต่อจากนั้นก็เป็นจิตที่รู้อารมณ์ต่อจากชวนะ จะเป็นตทาลัมพนะอีก ๒ ขณะ แล้วก็เป็นภวังค์อีกมาก
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า สภาพธรรมที่ปรากฏเสมือนไม่ดับในขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ แท้ที่จริงแล้วจิตเกิดดับสลับกันมาก ด้วยเหตุนี้สภาพธรรมที่ปรากฏจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เห็นทางตาแล้ว ทางใจก็ยังรับรู้จดจำสิ่งที่เห็น สัณฐานที่ปรากฏ แล้วก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นทางมโนทวารวิถีทางใจ ทำให้เกิดเป็นเรื่องราว ความยินดียินร้ายต่าง ๆ เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า จักขุทวารวิถีเกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ดับไป แล้วก็มีภวังคจิตเกิดมาก แล้วก็มีมโนทวารที่รับรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาต่อ แล้วก็มีภวังคจิตเกิดมาก แล้วก็อาจจะมีวิถีทางตาเกิดอีก หรือว่ามีวิถีทางหูเกิดสลับ
นี่เป็นการแสดงธรรมโดยละเอียด เพื่อที่จะให้ผู้ฟังไม่เข้าใจผิด ไม่คิดว่า สามารถจะระลึกรู้สภาพธรรมได้โดยง่าย และประจักษ์การเกิดดับได้โดยง่าย เพราะเหตุว่าแม้สภาพธรรมซึ่งกำลังเกิดดับสืบต่ออยู่ในขณะนี้ สำหรับผู้ที่ไม่ได้อบรมเจริญปัญญาแล้ว อวิชชาปิดบังไม่ให้เห็นสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง เช่นในขณะนี้ ทุกครั้งที่เห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุ เป็นสิ่งของต่าง ๆ และถ้าไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง จะแยกได้อย่างไรว่า สิ่งที่ปรากฏทางตานั้นไม่ใช่ขณะที่รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอะไร
นี่เป็นสิ่งที่จะต้องอบรมเจริญปัญญา ขณะนี้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา เพื่อจะให้เห็นความต่างกันว่า ขณะที่เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่ขณะที่รู้ความหมายของสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะเหตุว่าการรู้ความหมายนั้นต้องเป็นทางมโนทวาร ไม่ใช่ทางจักขุทวาร
เพราะฉะนั้น ถ้าท่านผู้ฟังเป็นผู้ที่ไม่ประมาทรู้ว่า สภาพธรรมที่ปรากฏนี้เป็นของจริงซึ่งสามารถจะระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วก็ศึกษาโดยการสังเกตสำเหนียกจนสามารถแยกสภาพธรรมที่ปรากฏเสมือนติดกันแน่นออกจากกันได้ จึงจะเป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะ ตรงต่อลักษณะของสภาพธรรมนั้น ๆ จริง ๆ เช่น ทางหู ได้ยิน รู้ความหมาย คนละขณะ ขณะที่ได้ยินเสียงก็เพียงได้ยินเท่านั้น แล้วก็ดับไป ก่อนที่จะรู้ความหมายมีช่องว่างระหว่างการได้ยินกับการรู้ความหมายหลายขณะจิต จิตเกิดดับสืบต่อทางโสตทวารวิถี แล้วก็เป็นภวังคจิต แล้วก็เป็นมโนทวารวิถี แล้วก็รู้ความหมายของเสียงที่ได้ยิน แต่ความรวดเร็วนี้เสมือนกับว่า ทันทีที่ได้ยินก็รู้ความหมายเลย
เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดยังไม่ได้อบรมปัญญาที่จะรู้ชัดตรงลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งเมื่อเป็นสภาพธรรมที่ได้ยินก็เป็นสภาพธรรมที่ได้ยิน เมื่อเป็นการตรึกระลึกถึงความหมายก็ไม่ใช่ขณะที่ได้ยินแล้ว ขณะที่กำลังเข้าใจคำ เข้าใจความหมาย ต้องมีสภาพธรรมที่ตรึกหรือนึกถึงความหมายในขณะนั้น จึงเข้าใจในความหมายนั้น ที่ว่าเข้าใจในความหมายจะต้องมีการตรึกนึกถึงความหมาย ซึ่งไม่ใช่เป็นการได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยนัยเดียวกัน เช่น เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ต้องเห็นก่อน แล้วก็ตรึกถึงสัณฐานรูปร่างของสิ่งที่เห็น แล้วจึงจะรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร ถ้าในขณะนี้ปราศจากการตรึกถึงรูปร่างสัณฐาน จะไม่มีการรู้เลยว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร สำหรับทางหู ลองไม่ตรึกคือไม่นึกถึงความหมาย ก็จะไม่เข้าใจว่า คำนั้นหมายความว่าอะไร หรือเสียงที่ได้ยินหมายความว่าอะไร
เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญสติปัฏฐานโดยการระลึกเพื่อจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนสภาพธรรมที่ติดกันแน่นมากออกจากกันได้เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง แล้วจึงจะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ถ้ายังไม่เจริญปัญญาที่จะรู้จักลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะตรงตามลักษณะของสภาพธรรมนั้น ๆ แล้ว ไม่มีทางที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น บางท่านอาจจะปฏิบัติแบบที่จะให้จิตสงบแล้วก็ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าแม้ความรู้ที่จะรู้ว่า ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏต่างกันอย่างไรก็ยังไม่เกิดขึ้น เมื่อไม่รู้ว่า สภาพธรรมที่ปรากฏต่างกันอย่างไร แล้วจะประจักษ์การเกิดดับซึ่งเป็นปัญญาที่ได้อบรมจนกระทั่งรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะตามความเป็นจริง จนชิน จนละคลายการยึดถือความยินดีพอใจที่จะเห็นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วจึงจะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมนั้นได้จริงๆ