พระโสดาบัน เห็นนิพพาน (วิมุติ) หรือไม่ครับ?

 
ธุลีปดล
วันที่  24 ก.พ. 2557
หมายเลข  24521
อ่าน  4,533

เคยได้ยินมาว่าผู้เข้าถึงโสดาปฏิปัตติผลย่อมเห็นพระนิพพาน (สภาวธรรมอันพ้นจากการปรุงแต่ง) แต่มีพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ท่านสอนว่า ตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงอนาคามีไม่มีสิทธิ์เห็นพระนิพพาน (วิมุติ) และไม่มีปรากฏในพระสูตร ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้นที่ได้เห็นพระนิพพาน ไม่ทราบว่าเรื่องนี้ สรุปแล้วเป็นอย่างไร มีปรากฏในพระสูตรบ้างหรือไม่ครับ

ขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 25 ก.พ. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระนิพพานเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แน่นอนครับว่า นิพพานต้องเป็นพระนิพพาน ไม่เป็นอย่างอื่น คือ ไม่เป็น จิต เจตสิกและรูป แต่พระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ ไม่มีจิต เจตสิกและรูป จึงไม่เกิดขึ้นและดับไปเลย เป็นสภาพธรรมที่เที่ยง และเป็นสภาพธรรมที่เป็นสุขด้วย แต่ที่สำคัญ พระนิพพาน แม้จะเที่ยง เป็นสุข แต่พระนิพพานก็เป็นอนัตตาด้วย ไม่ใช่อัตตา เพราะพระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่สูญ สูญในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรเลย แต่สูญ จากความเป็นสัตว์ บุคคล คือ ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์บุคคลให้ยึดถือในพระนิพพาน พระนิพพานจึงไม่ใช่สัตว์ บุคคล แต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง และที่สำคัญ บังคับบัญชาไม่ได้ด้วยครับจึงเป็นอนัตตา ตามที่กล่าวมา ไม่ใช่อัตตา ดังนั้น เรียกพระนิพพานว่าพระนิพพานได้ และพระนิพพานก็เป็นอนัตตาด้วยครับ ซึ่งขอแสดงข้อความในพระไตรปิฎก ที่แสดงว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาและพระนิพพานก็เป็นอนัตตาด้วยครับ

ซึ่งประเด็นคำถามที่ว่า พระโสดาบันเห็นพระนิพพานหรือไม่

ก่อนอื่นควรที่จะได้เข้าใจว่า พระโสดาบันคือใคร พระโสดาบัน คือผู้ที่ถึงพระนิพพาน เป็นครั้งแรก ซึ่งก็คือ เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ ๑ ที่ได้ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง ดับกิเลสได้เพียงบางส่วนตามสมควรแก่มรรคที่ท่านได้ ยังไม่สามารถดับได้ทั้งหมด พระโสดาบันดับความเห็นผิดทุกประการ ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ดับความตระหนี่ ดับความริษยา ดับกิเลสอย่างหยาบที่จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ เพราะพระโสดาบันเป็นผู้ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป ท่านเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นผู้แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงๆ ขึ้นไป กล่าวคือ บรรลุเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี จนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

กว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบัน ตลอดจนถึงพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ นั้นจะขาดการสะสมอบรมเจริญปัญญาไม่ได้ จะต้องเข้าใจอย่างมั่นคงว่า การเป็นพระอริยบุคคล เป็นไปด้วยปัญญา และ การบรรลุเป็นพระอริยบุคคลนั้นต้องเป็นลำดับขั้นด้วย เริ่มตั้งแต่พระโสดาบัน พระสกทาคามีพระอนาคามี และพระอรหันต์ เพราะการดับกิเลส จะต้องดับเป็นขั้นๆ ตามลำดับมรรคและจะดับได้อย่างหมดสิ้นเมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์

เพราะฉะนั้น สรุปได้ว่า พระอริยบุคคล ทุกขั้น รวมทั้ง พระโสดาบัน ท่านเห็นพระนิพพานแล้ว ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ธุลีปดล
วันที่ 25 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ธุลีปดล
วันที่ 25 ก.พ. 2557

สอบถามอีกเล็กน้อยครับ

ไม่ทราบว่าพอจะมีพระสูตร ที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงว่า พระโสดาบันนั้นเป็นผู้เห็นพระนิพพาน บ้างไหมครับ?

ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
สัมมาทิฏฐิ
วันที่ 25 ก.พ. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 25 ก.พ. 2557

เรียนความเห็นที่ 3 ครับ

จากคำถามที่ถามว่า แสดงข้อความในพระไตรปิฎก ที่พระโสดาบันเห็นพระนิพพาน มีหลายพระสูตรดังนี้ ครับ

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 467

อรรถกถากิงสุกสูตรที่ ๘

ในกิงสุกสูตรที่ ๘ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ .

บทว่า ทสฺสน นั่นเป็นชื่อเรียก ปฐมมรรค (โสดาปัตติมรรค) เพราะว่า ปฐมมรรค (นั้น) ทำหน้าที่คือการละกิเลสได้สำเร็จ เห็นพระนิพพานเป็นครั้งแรก ฉะนั้น จึงเรียกว่า ทัสสนะ.


พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 83

บทว่า วิชฺชนฺตริกาย ได้แก่ ในขณะที่ฟ้าแลบ.

แม้ในข้อนี้ ก็มีข้อเปรียบเทียบดังต่อไปนี้

ก็พระโยคาวจร พึงเห็นเหมือน บุรุษผู้มีตาดี กิเลสที่โสดาปัตติมรรคฆ่า พึงเห็นเหมือนความมืด กาลเวลาที่พระโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น พึงเห็นเหมือนการแลบของสายฟ้า การเห็นพระนิพพานในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค พึงเห็นเหมือนการเห็นรูปได้รอบด้านของบุรุษผู้มีจักษุในระหว่างฟ้าแลบ กิเลสที่สกทาคามิมรรคฆ่า พึงเห็นเหมือนการกำจัดความมืดได้อีกครั้ง การบังเกิดขึ้นแห่งสกทาคามิมัคคญาณ พึงเห็นเหมือนการแลบของสายฟ้าอีกครั้งหนึ่ง การเห็นพระนิพพาน ในขณะแห่งสกทาคามิมรรค พึงเห็นเหมือนการเห็นรูปได้โดยรอบ แห่งบุรุษผู้มีตาดี ในระหว่างฟ้าแลบ กิเลสที่อนาคามิมรรคฆ่า เหมือนการกำจัดความมืดมนอันธการอีกครั้ง ความเกิดขึ้น แห่งอนาคามิมัคคญาณ พึงเห็นเหมือนการแลบของสายฟ้าอีกครั้ง การเห็นพระนิพพานในขณะแห่งอนาคามิมรรค พึงเห็นเหมือนการเห็นรูปโดยรอบด้าน แห่งบุรุษผู้มีตาดี ในระหว่างฟ้าแลบ


พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้าที่ 206

๔. อเวจจสูตร

ว่าด้วยบุคคล ๑๐ จำพวก ที่เลื่อมใสอย่างมั่นคงในพระตถาคต

[๖๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เลื่อมใสอย่างไม่หวั่นไหวในเรา บุคคลเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผู้ถึงกระแสนิพพาน ผู้ถึงกระแสนิพพาน ๕ จำพวกเหล่านั้นเธอมั่นในโลกนี้ ๕ จำพวกละโลกนี้ไปแล้วจึงเชื่อมั่น ๕ จำพวกเหล่าไหนเชื่อมั่นในโลกนี้ ๕ จำพวกเหล่านั้นคือ พระโสดาบันผู้สัตตักขัตตุปรมะ ๑ พระโสดาบันผู้โกลังโกละ ๑ พระโสดาบันผู้เอกพีชี ๑ พระสกทาคามี ๑ พระอรหันต์ในปัจจุบัน ๑ บุคคล ๕ จำพวกเหล่านี้เชื่อมั่นในโลกนี้

บุคคล ๕ จำพวกเหล่าไหนละโลกนี้ไปแล้วจึงเชื่อมั่น คือ พระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี ๑ พระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี ๑ พระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี ๑ พระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี พระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ๑ บุคคล ๕ จำพวกเหล่านี้ละโลกไปแล้วจึงเชื่อมั่น.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเลื่อมใสอย่างไม่หวั่นไหวในเรา บุคคลเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผู้ถึงกระแสนิพพาน ผู้ถึงกระแสนิพพาน ๕ จำพวกเหล่านี้นั้นเชื่อมั่นในโลกนี้ ๕ จำพวกละโลกนี้แล้วจึงเชื่อมั่น.

จบอเวจจสูตรที่ ๔

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 25 ก.พ. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง แสดงถึงความเป็นจริงทั้งหมด เมื่อกล่าวถึงธรรมแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรม และ รูปธรรม สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่นามธรรม ก็เป็นรูปธรรมทั้งหมด นามธรรม แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือนามธรรมที่รู้อารมณ์ได้แก่ จิต และ เจตสิก และนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ ได้แก่พระนิพพาน ที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิด ไม่ดับ แต่มีจริง พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เท่านั้นที่ประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้ และ ท่านเหล่านั้นก็รู้ได้ด้วยตนเองว่าท่านได้ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน พระอริยบุคคล เป็นผู้ที่ประเสริฐ สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ พระอรหันต์เท่านั้นที่เป็นผู้ที่ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีเหลือ

การเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เป็นได้ด้วยปัญญา และต้องเป็นปัญญาของแต่ละบุคคลจริงๆ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ถ้าไม่มีปัญญาเลย ก็ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคล ได้

ปัญญาไม่สามารถจะเจริญขึ้นได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับ เพียงแค่วันนี้ พรุ่งนี้ หรือชาตินี้ ยังไม่พอ ต้องสะสมความเข้าใจต่อไปอีกเป็นเวลาอันยาวนาน (จิรกาลภาวนา) ซึ่งมีข้ออุปมาเหมือนการจับด้ามมีด เมื่อจับบ่อยๆ นานๆ รอยสึกย่อมปรากฏได้ ปัญญาก็เช่นกัน ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการสะสม ในการอบรม จึงจะเจริญขึ้นได้ เพราะฉะนั้นในแต่ละภพในแต่ละชาติ มีชีวิตอยู่ก็เพื่อได้ฟังพระธรรม ได้สะสมอบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ยิ่งขึ้น ไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 25 ก.พ. 2557

พระโสดาบัน ประจักษ์แจ้งพระนิพพานแล้ว ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 26 ก.พ. 2557

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
nopwong
วันที่ 4 มี.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 1 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ