เรียนถามเรื่อง ปสาทรูป
เนื่องด้วยผมยังมีมิจฉาทิฏฐิในเรื่อง “ปสาทรูป” จึงอยากเรียนถามเพื่อความเข้าใจ ดังนี้ครับ
ในพระไตรปิฎกซึ่งแปลเป็นไทยมีคำว่า “หัวใจ” และ “สมอง” โดยในทางวิทยาศาสตร์ “สมอง” มีหน้าที่หนึ่งคือ “รับรู้” ความรู้สึก ซึ่งความรู้สึกแต่ละอย่างก็จะรับรู้โดยส่วนของสมองที่แตกต่างกัน เช่น
- รับรู้สี (เห็นผ่านทางตา) โดยสมองส่วนท้ายทอย (occipital lobe)
- รับรู้เสียง (ได้ยินผ่านทางหู) โดยสมองส่วนขมับด้านบน (temporal lobe)
- รับรู้กลิ่น (ได้กลิ่นผ่านทางจมูก) โดยสมองส่วนขมับด้านใน (temporal lobe)
- รับรู้รส (รับรสผ่านทางลิ้น) โดยสมองส่วนข้างด้านล่าง (parietal lobe)
- รับรู้สัมผัส (เย็น ร้อน อ่อนแข็ง แหลม สั่นไหวผ่านทางผิวหนัง) โดยสมองส่วนข้างด้านนอก (parietal lobe)
- คิด วิเคราะห์ คำนวณ จดจ่อ ยับยั้งใจ โดยสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex)
ทั้งนี้ ขอใช้ “การเห็น” มาเป็นตัวอย่างคือ หากไม่มีสมองส่วนท้ายทอย ก็จะไม่รับรู้สี แม้จะมีตาก็ตาม เช่นเดียวกัน หากไม่มีสมองส่วนอื่นๆ ก็จะไม่รับรู้เสียง ไม่รับรู้กลิ่น ไม่รับรู้รส ไม่รับรู้สัมผัส ไม่เกิดความคิด
จึงใคร่ขอถามดังนี้ครับ
๑. “จักขุปสาทรูป” อันเป็นที่เกิดของ “จิตเห็น” หรือ “จักขุวิญญาณ” จึงน่าจะอยู่ที่ “สมอง” ไม่ใช่ที่ “ตา” (ปสาทรูปอื่นก็ทำนองเดียวกัน)
๒. จริงๆ แล้ว “สมอง” (บางส่วน) คือ “หทยวัตถุ” หรือไม่ (โดยเป็นที่อาศัยแห่งมโนธาตุและมโนวิญญาณธาตุ) เพราะในทางวิทยาศาสตร์ สมองมีหน้าที่รับรู้เรื่องราวต่างๆ ไม่ใช่หัวใจ
ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกอย่างก็ไม่พ้นจากความคิดนึกเท่านั้น หากแต่ว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่ไม่ใช่เพียงความคิดนึกของชาวโลก ที่ไม่ได้รู้สัจจะ ทรงแสดงถึง สภาพธรรมที่ทำหน้าที่ตามความเป็นจริง ครับ
คำถามที่ว่า
๑. “จักขุปสาทรูป” อันเป็นที่เกิดของ “จิตเห็น” หรือ “จักขุวิญญาณ” จึงน่าจะอยู่ที่ “สมอง” ไม่ใช่ที่ “ตา” (ปสาทรูปอื่นก็ทำนองเดียวกัน)
♢ ปสาทรูปเป็นรูปที่เกิดจากกรรม เป็นรูปที่เกิดดับตามสมุฏฐาน คือ กรรมเป็นปกติ
ปสาทรูป มี 5 คือ จักขุปสาทรูป เป็นรูปที่กระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ ๑ รูป, โสตปสาทรูป เป็นรูปที่กระทบกับเสียงได้ ๑ รูป, ฆานปสาทรูป เป็นรูปที่กระทบกับกลิ่นได้ ๑ รูป, ชิวหาปสาทรูป เป็นรูปที่กระทบกับรสได้ ๑ รูป, กายปสาทรูป เป็นรูปที่กระทบกับ....เย็น/ร้อน (ธาตุไฟ) ๑ อ่อน/แข็ง (ธาตุดิน) ๑
จักขุปสาทคือรูปที่เกิดจากกรรมที่มีความผ่องใสเหมือนกระจกเงา สามารถรับกระทบกับสีต่างๆ ตั้งอยู่ในกลางตาดำมีเยื่อตา ๗ ชั้นซึมซับอยู่ ประดุจสำลีที่อาบด้วยน้ำมันชุ่มอยู่ทั้ง ๗ ชั้น มีสัณฐานโตประมาณเท่าหัวเล็น ทำหน้าที่ได้ ๒ อย่าง คือ
๑. เป็นจักขุวัตถุ ที่เกิดของจักขุวิญญาณ ๒ ดวง (การเห็น)
๒. เป็นจักขุทวาร ทางรู้อารมณ์ของจักขุทวารวิถีจิต
ดวงตาทั้งหมด ไม่ชื่อว่า จักขุปสาท ดวงตาทั้งหมดที่เรียกว่า มังสจักขุ แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
๑. สสัมภารจักขุ คือ ส่วนต่างๆ ที่ประชุมกันอยู่ทั้งหมดเรียกว่า “ดวงตา” ซึ่งมีทั้งตาขาวและตาดำ มีก้อนเนื้อเป็นฐานรองรับปสาทจักขุไว้
๒. ปสาทจักขุ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “จักขุปสาท” คือ ความใสของมหาภูตรูปอันเกิดจากกรรม ที่ตั้งอยู่บนกลางตาดำ
----------------------------------------------
๒. จริงๆ แล้ว “สมอง” (บางส่วน) คือ “หทยวัตถุ” หรือไม่ (โดยเป็นที่อาศัยแห่งมโนธาตุและมโนวิญญาณธาตุ) เพราะในทางวิทยาศาสตร์สมองมีหน้าที่รับรู้เรื่องราวต่างๆ ไม่ใช่หัวใจ
♢ สมอง ก็คือ การประชุมรวมกันของสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม รูปธรรมคิดไม่ได้ นึกคิดไม่ได้ จำไม่ได้ แต่การนึกคิดได้ จำได้ เป็นหน้าที่ของ จิต เจตสิกที่เกิดขึ้น และอาศัย รูป เป็นปัจจัยด้วยครับ
สมอง มีเพียงรูป 8 รูป แต่ ไม่มีหทยรูปอยู่ด้วย และไม่ใช่หทยวัตถุ ครับ
ซึ่ง หทยรูป ที่เป็น หทยวัตถุ คือ เป็นที่เกิดของจิตประเภทต่างๆ ที่ไม่ใช่ จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้กระทบสัมผัส จิตอื่นๆ ก็เกิดที่หทยรูป เรียกว่า หทยวัตถุ ซึ่ง หทยรูป หรือ หทยวัตถุนั้น โดยมากก็อยู่บริเวณหัวใจ ไม่ใช่สมอง ครับ
ข้อความจากอภิธรรม อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 276
...ดวงหทัยนั่นแล เป็นที่อยู่ด้วย เพราะเป็นที่ อาศัยแห่งมโนธาตุและมโนวิญญาณธาตุ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าหทัยวัตถุ ฯ จริงอย่างนั้น หทัยวัตถุนั้น มีความเป็นที่อาศัยแห่งธาตุทั้ง ๒ เป็นลักษณะ ฯ ก็หทัยวัตถุนั้น อาศัยโลหิตในภายในกล่องดวงหทัยมีประมาณซองมือเป็นไป
--------------------------------------
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะทรงแสดงในส่วนใดก็ตาม ย่อมไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ โดยโวหาร โดยพยัญชนะต่างๆ ทั้งหมดทั้งปวงเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริง อันเป็นธรรมที่ละเอียดยิ่ง ที่หาความเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นตัวตน ไม่ได้เลย สำคัญที่ความเข้าใจถูก เห็นถูกของผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาอย่างแท้จริง ถ้าเป็นผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบ ไม่ประมาทพระธรรมว่าง่าย ศึกษาด้วยความตั้งใจ ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ พระธรรม แม้จะยาก แต่ก็ไม่เหลือวิสัยที่จะเข้าใจได้ จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงได้ ก็ต้องอาศัยพระบรมศาสดา คือ พระพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง แล้วทรงแสดงความจริงให้สัตว์โลกได้รู้ตาม ครับ
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ
พระธรรมไม่ใช่เรื่องคิดเอง
พระธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง ใครๆ ก็คิดเองไม่ได้ทั้งหมด ไม่มีใครสามารถจะคิดได้เลย เช่นในขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏ ใครรู้บ้างว่าจริงๆ แล้วเป็นอะไร ชาวพุทธก็คงจะชินกับคำว่า “อนัตตา” โดยมากจะได้ยิน “อัตตา” กับ “อนัตตา” อัตตาก็คือความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ตั้งแต่เกิด ก็มีเราเกิด แต่ว่าจากการตรัสรู้ก็ทรงแสดงว่าธรรมทั้งหลาย คือ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ทุกขณะเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่ใช่สิ่งที่เที่ยงถาวรหรือว่าเป็นของใครคนใดคนหนึ่ง เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะมีเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป แต่ว่าผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรมเลยก็จะมีชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย โดยที่ไม่เข้าใจเลยว่า สิ่งที่มีในชีวิตประจำวันทั้งหมด พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้ความจริงแท้ของสิ่งที่ปรากฏจนตลอดจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท แล้วก็ทรงประกอบด้วยพระญาณซึ่งบุคคลอื่นไม่มี ที่จะทรงแสดงธรรมคือ การใช้คำที่จะทำให้คนอื่นได้ยินได้ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจถูกต้องในสิ่งที่ปรากฏ ตรงกับคำที่ทรงแสดงว่าอนัตตา สภาพธรรมที่มีจริง ถ้าผู้ใดตรัสรู้ความจริงไม่เปลี่ยน ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมนั้นได้เลย
เพราะฉะนั้นแม้แต่เพียงคำเดียวคือคำว่า “อนัตตา” เราจะต้องฟังจนค่อยๆ มีความเห็นถูกว่า ธรรมเป็นอะไร แล้วก็เป็นอนัตตาจริงหรือไม่ แล้วก็จนกระทั่งถึงสามารถที่จะรู้แจ้ง ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมนั้น จนสามารถดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความเป็นจริงของสภาพธรรมเป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น และผู้ที่ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงและทรงแสดงความจริงให้สัตว์โลกได้รู้ตามความเป็นจริง คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น จะเข้าใจธรรมได้ ก็ต้องอาศัยการฟังในสิ่งที่พระองค์ทรงแสดง จิตเห็น เกิดที่จักขุปสาทะ ไม่ได้เกิดที่อื่นเลย จิตเห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ได้เกิดขึ้นเองหรือไม่ได้เกิดขึ้นตามใจชอบ ส่วนที่เรียกว่าสมอง ก็ไม่พ้นไปจากรูปธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เพราะมีรูปธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ที่เป็นมหาภูตรูป และรูปที่อาศัยมหาภูตรูปเกิด อาศัยการประชุมกันของรูป จึงสมมติเรียกว่าเป็นสมอง ไม่ได้เป็นที่เกิดของจิตเลย เพราะที่เกิดของจิต มี ๖ รูป คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ หทยวัตถุ ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ (สำหรับในภูมิที่ไม่มีรูป จิตเกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยรูป แต่อาศัยเจตสิกเกิดขึ้น ทั้งจิตและเจตสิกต่างอาศัยกันและกันเกิดขึ้น)
เพราะฉะนั้น ก็ขอให้ตั้งต้นฟังพระธรรม ค่อย ๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย สิ่งที่ศึกษานั้น ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันเลย มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...