ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ สามพราน ริเวอร์ไซด์ นครปฐม ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา
คุณสุภาพรรณ ชูสวัสดิชัย และ ครอบครัว พร้อมทั้ง คุณนวลใจ ธนานุรักษากุล และเพื่อนๆ
ได้กราบเรียนเชิญ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร
ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ไปสนทนาธรรม
ณ โรงแรม สามพรานริเวอร์ไซด์ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
สามพรานริเวอร์ไซด์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน ภายในสวนสามพราน ใกล้ๆ กรุงเทพฯ นี้เอง
ภายในเนื้อที่ ๑๗๐ ไร่ ได้ถูกจัดแบ่งเป็นโซนต่างๆ เช่นส่วนของสวนพรรณไม้ ดอกไม้
ส่วนของหมู่บ้านไทย ที่มีกิจกรรมให้ผู้เข้าชมและพักผ่อนภายในสวนได้ทำกิจกรรมต่างๆ
เช่น ปั้นดิน ร้อยมาลัย รำกระทบไม้ เป็นต้น ทั้งยังมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย
ให้ผู้เข้าชมได้ชม มีการแสดงของช้างแสนรู้ ที่มีผู้สนใจเข้าชมเป็นจำนวนมาก
ทั้งยังมีกิจกรรมการทำเกษตรอินทรีย์ กิจกรรมล่องน้ำลุยสวน ให้ผู้เข้าชมได้เลือกทำ
ก่อนกลับ ก็สามารถเลือกซื้อสินค้าจากตลาดสุขใจ ภายในสวนสามพราน
ซึ่งเป็นสินค้าจากเกษตรอินทรีย์ สินค้าปลอดสารพิษ และ สินค้าเพื่อสุขภาพต่างๆ
การสนทนาธรรม ได้จัดขึ้น ณ ห้องไพลิน ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๕.๓๐ น.
โดยหยุดพัก เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ในระหว่างเวลา ๑๑.๔๕ - ๑๓.๐๐ น.
ณ ห้องอาหารแวนด้า เป็นห้องอาหารบุฟเฟต์นานาชาติ ริมทะเลสาบแสนสวย ร่มรื่น
มีทั้งแขกชาวไทย และ ชาวต่างชาติ มาใช้บริการมากมาย
จากห้องสนทนาธรรม สามารถเดินไปยังห้องอาหารกลางวันที่จัดไว้ ไม่ไกลเลย
หากไม่เดินก็สามารถขึ้นรถไฟฟ้าที่มีไว้บริการ ระหว่างทาง ร่มรื่นด้วยพรรณไม้ นานาชนิด
เราจึงได้เห็นภาพของความประทับใจ ที่ได้เห็นท่านอาจารย์เดิน ด้วยความคล่องแคล่ว
ในวัย ๘๗ ปีของท่าน ดูสดใส แข็งแรง ร่าเริงเป็นอย่างยิ่ง
ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำของคุณคำปั่น อักษรวิลัย ที่กล่าวว่า
ชีวิตของท่านอาจารย์ ยิ่งยืนยาวมากเท่าใด ยิ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น มากเพียงนั้น
ท่านเจ้าภาพ มีความละเอียดประณีต ในการจัดการสนทนาธรรมในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
นี่เป็นสิ่งหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าสังเกตุ จากการได้ติดตามท่านอาจารย์ไปสนทนาธรรม ในที่ต่างๆ
ข้าพเจ้าสังเกตุถึงความศรัทธาอันยิ่ง ความละเอียด ความรอบคอบ ความเกื้อกูล
ความเป็นกัลยาณมิตร ความเป็นผู้ให้อันยอดเยี่ยม ด้วยความซาบซึ้งใจของผู้รับ
และ ในความอนุโมทนาสาธุการ ในความดีทุกประการ อันท่านเจ้าภาพได้สะสมมา
กำลังสะสมอยู่โดยบ่อย บุคคลจึงสังเกตุได้ เห็นได้ ในสิ่งอันเป็นภายนอก และ ภายใน
ในทรัพย์สมบัติ ในรูปสมบัติ และในที่สุด คือ อริยสมบัติ สูงสุด ที่บุคคลปรารถนา
แต่หาได้มา ด้วยความหวัง ความติดข้องต้องการ ไม่
หากเป็นการได้ ด้วยความเข้าใจ ด้วยความอดทน ด้วยความเพียร ด้วยความเสียสละ
ด้วยความเห็นถูก ด้วยความตั้งใจมั่น อันเป็นบารมี ที่จักให้ถึงฝั่ง อันแสนไกล
แต่ย่อมถึงได้ในวันหนึ่ง ด้วยการเดินทางไกลนั้น ย่อมอบอุ่นพรั่งพร้อมอยู่ด้วย
กับกัลยาณมิตรทั้งหลาย ในขณะปัจจุบัน บนหนทางแห่งความเข้าใจที่ถูกต้อง ในธรรม
ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และ ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษย่อมให้ทานอย่างสัตบุรุษอย่างไร คือ สัตบุรุษในโลกนี้ ย่อมให้ทานโดยเคารพ ทำความอ่อนน้อมให้ทานให้ทานอย่างบริสุทธิ์ เป็นผู้มีความเห็นว่ามีผล จึงให้ทาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล สัตบุรุษชื่อว่าย่อมให้ทานอย่างสัตบุรุษ.
เทวทหวรรคที่ ๑ จูฬปุณณมสูตรที่ ๑๐
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๘๙
ขณะที่ทำรูปเพื่อลงกระทู้นี้ บางขณะ ข้าพเจ้ารู้สึกปีติ ตื้นตันใจอย่างมาก
ที่ได้เห็นภาพของสหายธรรมหลายๆ ท่าน ที่คุ้นเคย และ มีความชื่นบานใจแก่กันและกัน
เป็นกำลังใจกัน มีความเป็นมิตร เกื้อกูลกันและกัน
ในหนทางที่ประกอบไปด้วยความดีทั้งหลายนี้ ทั้งยังมีความเจริญมั่นคงขึ้น
ในความดีทุกประการ ตามที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวธรรมเพื่อเกื้อกูลมาโดยตลอดนั้น
ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเนื้อเพลงที่ว่า
...อันความกลมเกลียว กันเป็นใจเดียว ประเสริฐศรี
ทุกสิ่ง ประสงค์ จงใจ จักเสร็จสมได้ ด้วยสามัคคี
สามัคคี นี่แหละล้ำเลิศ จักชูชาติ เชิดพระศาสนา
สยามรัฐ จักวัฒนา ปรากฏเกียรติฟุ้งเฟื่อง กระเดื่องแดนดิน...
เมื่อชาติ คือ การเกิดขึ้นของกุศล และ อกุศล หากบุคคลทั้งหลาย มีความเจริญขึ้นในธรรม
มีความเห็นถูก เข้าใจถูกต้อง ในธรรมทั้งหลาย เพิ่มขึ้น มากขึ้น ย่อมเป็นปัจจัยที่มั่นคง
อันจะเป็นกำลัง ให้กุศลธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้นได้ โดยบ่อย
ชาติ บ้านเมือง ที่ทุกคนมุ่งหวังให้มีความเจริญมั่นคง วัฒนาสถาพร จึงย่อมเป็นที่หวังได้
จากความเจริญมั่นคง ในกุศลธรรม และ ความดีทุกประการ ในขณะนี้เอง
หลายครั้ง ขณะที่ข้าพเจ้าทำรูปลงกระทู้ เห็นรูปท่านอาจารย์ ทั้งในขณะที่สนทนาธรรม
และขณะอื่นๆ ที่เห็นท่านร่าเริงสดใส ก็เกิดปีติขึ้น ในความเมตตา ในความเกื้อกูลของท่าน
นึกถึงพระคุณของท่าน ที่ได้ให้สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตนี้ แก่ข้าพเจ้า
คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูก ในหนทางอันแสนยากนี้
บ่อยครั้ง ที่ข้าพเจ้ากราบรูปท่านในคอมพิวเตอร์ขณะที่ทำงานอยู่ บนโต๊ะทำงานนั้นเอง
ด้วยความซาบซึ้งใจ ด้วยปีติในใจ ที่ล้นเอ่อออกมาในดวงตาที่พร่ามัว
หลายครั้ง หลายหน แม้ในขณะนี้
ดีใจเหลือเกิน ที่ได้มีโอกาสพบท่านครับ
ไม่น่าเชื่อ ว่าขณะที่ท่านอาจารย์บรรยายธรรม เป็นครั้งแรก เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๙
ข้าพเจ้ายังไม่เกิดเลย ณ บัดนี้ เวลาล่วงไปถึง ร่วมหกสิบปีแล้ว
การได้มีโอกาสมานั่งฟังท่านอาจารย์บรรยายธรรม ถึงความจริง ที่มีอยู่จริงๆ ในขณะนี้
ให้ได้มีโอกาสเข้าใจขึ้น ย่อมเป็นบุญอย่างหาที่สุดมิได้ เหลือที่จะกล่าวจริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์ได้กล่าวกับข้าพเจ้า เมื่อวันอาทิตย์ ที่ผ่านมาว่า
ช่วงกึ่งพุทธกาลนี้ พระศาสนาจะเฟื่องฟูขึ้น (จากความเข้าใจธรรม) เป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนที่จะค่อยๆ อันตรธานไป
เป็นความปีติ ซาบซึ้งใจยิ่ง กับการได้มีโอกาสมีชีวิตอยู่ ณ ช่วงเวลาที่แสนมีค่า
แลหาได้ยากยิ่ง ในสังสารวัฏฏ์
นี้ เป็นช่วงเวลาสุดท้าย แห่งกาลที่พระศาสนาเฟื่องฟู ก่อนที่จะอันตรธาน จริงๆ
อันดับต่อไป จึงจะขออนุญาต นำความการสนทนาธรรมบางตอน ในภาคบ่ายของวันนั้น
มาฝากให้ทุกๆ ท่าน ได้พิจารณาเช่นเคย เป็นความที่ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วซาบซึ้งใจมาก
เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง อันยอดเยี่ยมอีกครั้งหนึ่งในชีวิตของข้าพเจ้าที่รู้สึกเช่นนั้นในขณะนั้น
ท่ามกลางบรรยากาศที่แวดล้อมไปด้วยความอบอุ่น ที่จะประทับอยู่ในใจไปเท่านาน
อนึ่ง ควรที่จะบันทึกไว้ด้วยว่า พี่สุภาพรรณได้แจ้งไว้ล่วงหน้าว่า
ทางโรงแรมได้มอบบัตรอภินันทนาการ เพื่อเข้าชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย
ณ หมู่บ้านไทย สวนสามพราน ในตอนบ่าย จำนวนมากถึง ๒๐ ท่าน
แต่ไม่ได้รับความสนใจจากสหายธรรมท่านใดเลย
ทุกท่านไม่ยอมละไปจากการได้ฟังพระธรรม ที่มีความไพเราะ และ หาได้ยาก แม้คนเดียว
อ. ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์คะ พอดีช่วงเช้า ก็ได้มีการสนทนา ทั้งเรื่องปรมัตถ์และบัญญัติ
ปรมัตถ์ ก็หมายถึงว่า ธรรมะที่มีจริงทั้งหลาย ก็เป็นปรมัตถธรรม
และ เรื่องราวที่เป็นบัญญัติ อุปมาเหมือนกับเป็นเงาของปรมัตถ์ หรือว่า สิ่งที่มีจริงๆ
แล้วเราจะเข้าใจ ลักษณะ สิ่งที่ปรากฏ ถึงจะรู้ว่ามี แต่ก็ไม่ใช่จะปรากฏ ให้รู้ตัวจริงตลอด
แล้วก็ เรื่องราว ถึงแม้จะเป็นเรื่องราวของปรมัตถ์ก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีลักษณะจริงๆ
แล้วก็จะเข้าใจว่า ขณะใดเป็นปรมัตถ์ ขณะใดเป็นบัญญัติ ก็เป็นเรื่องยากค่ะ ท่านอาจารย์
ก็เลยคิดว่า น่าจะกราบเรียนท่านอาจารย์ สนทนาทั้งสองอย่าง
เพราะชีวิตเรา ก็มีอยู่แค่ สิ่งที่เป็นเรื่องราว สิ่งซึ่งไม่มีจริงๆ กับ สิ่งที่มีจริงๆ
ท่านอาจารย์ ค่ะ "เรา" จะเข้าใจ
อ. ธิดารัตน์ เป็นคำพูดติดปากค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ติดปาก เพราะอะไรคะ?
จริงๆ แล้ว ธรรมะ นี่ น่าสนใจมาก
เพราะว่า ละเอียด ลึกซึ้ง
เกิดแล้ว ดับไป หายไป ไม่กลับมาให้รู้อีกเลย
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว เวลานี้ เราต้องไม่ลืม "คำ" ที่เราได้ยิน ได้ฟัง
จนกว่าจะมั่นคง เป็นสัจจญาณ
ปัญญา ที่รู้จริงๆ ว่า
ขณะนี้ เป็นธรรมะ
เพราะว่า เราจะลืมบ่อยๆ
พอเจอหน้ากัน อาจจะมีคำถามหนึ่ง
"ลืมอะไรหรือเปล่า?"
คะ?
ลืมอะไรบ้างหรือเปล่า?
ก่อนที่จะได้ฟังคำตอบ พยายามคิดว่า เอ๊ะ!!! ลืมอะไร?
ลืมโน่น ลืมนี่
แต่ถ้าถามซ้ำ บ่อยๆ ชักเอะใจ ก็เลยรู้ว่า อ๋อ...
เดี๋ยวนี้!!!
ลืม...ว่าเป็นธรรมะ...
แล้วก็จะลืมอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เพราะว่า เมื่อกี้นี้ ก่อนพูด ก็ลืมแล้ว ใช่ไหม?
รับประทานอาหาร ก็ลืม
ลืมเสมอ
เพราะฉะนั้น จนกว่าจะไม่ลืม ลองคิดดู
ไม่ใช่ให้เราไปทำอะไรเลย
แต่ว่า "ฟัง" เรื่องสิ่งที่มีจริง จนกระทั่ง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
เพราะเหตุว่า ปัญญาที่แท้จริง ปัญญาที่อบรมแล้วนี้
รู้อะไร?
ต้องไม่ผิด ต้องรู้สิ่งที่มีจริง
เดี๋ยวนี้!!!
ไม่เปลี่ยนไปทำอะไร ให้เปลี่ยนแปลงไปเลย จากปรกติ ซึ่งเกิดแล้วดับ เลย
เพราะฉะนั้น
ยากไหม?
ในเมื่อปรากฏ...เร็วมาก...สั้นมาก...
แล้วก็ "ปัญญา" จริงๆ ก็ "รู้" นั่นแหละ
"รู้" สิ่งที่เกิด แล้วดับ ที่สั้นๆ เร็วๆ อย่างนั้นแหละ!!!
จึงสามารถ ละการยึดถือ ว่าเป็นเรา ได้
เพราะฉะนั้น การฟัง ก็คือว่า ไม่ได้ทำอะไรเลย ที่จะเป็นการ "ผิดปรกติ"
ไม่ใช่ไปอยาก
วันนี้ เป็นคนดี พยายามจะรู้
"ไม่ลืม" ว่า "ขณะนี้ เป็นธรรมะ"
พยายามไม่ลืมว่าเป็นธรรมะ ก็ผิด
เห็นไหม? ผิดตลอด
เพราะเหตุว่า "เป็นเรา" ที่กำลังพยายาม
แต่ว่าเดี๋ยวนี้ ปัญญาจริงๆ คือ เกิดเพราะเหตุปัจจัย
มีปัจจัยพอที่จะเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ
จากการ "ฟัง"
เมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น
แต่จะว่า อยากรู้เร็วๆ เดี๋ยวเราจะกลายเป็นคนเกียจคร้าน
แต่ว่า โลภะ เก่งมาก
หลอกเก่ง ลวงเก่ง ชวนเก่ง ทำทุกอย่างเก่งหมด
แต่ว่า ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมะ
นี่เป็นสิ่งซึ่ง ต่างกันมาก
โลภะอยู่ที่ไหน ปัญญา ไม่อยู่ตรงนั้น
ตรงไหนที่มีความเข้าใจ ตรงนั้น ไม่มีโลภะ
เพราะฉะนั้น กว่าที่เราจะได้ฟัง จนกระทั่ง มีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น
ว่า ปัญญา คือ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ตามปรกติ โดยความเป็นอนัตตา
อันนี้ ลืมไม่ได้เลย
เพราะว่า ปรกติ โดยความเป็นเราจะรู้ โดยการเป็นเราตั้งใจ
เป็นเราเลือก เป็นเราทำ
เป็นหนทางที่ เสียเวลาที่สุด
เพราะเหตุว่า จะทำอย่างนี้ไปกี่วัน กี่เดือน กี่ปี กี่ชาติ
ก็คือ
"เป็นเรา"
เพราะว่า ขณะนั้น รู้ไม่เท่าทัน โลภะ
ปัญญา อย่างเดียว ที่สามารถจะรู้ โลภะ รู้สภาพธรรมะ ทุกอย่าง ตามความเป็นจริง
จึงสามารถที่จะละโลภะได้
ด้วยเหตุนี้ อริยสัจจธรรม ทุกขอริยสัจจะ
เมื่อไหร่คะ?
เดี๋ยวนี้!!!
เมื่อเช้านี้ เราพูดว่า ทุกอย่าง เป็นธรรมะ
แต่ไม่มีสักอย่างที่เป็น
นี้ ธรรมะ
ได้แต่บอกว่า ทุกอย่าง เป็นธรรมะ
แต่ถ้าเป็นธรรมะจริงๆ ที่เข้าใจ
"นี้" คือ "เห็น"
"เห็น" เดี๋ยวนี้ !!!
เพราะฉะนั้น ขณะนั้น ก็มีการเริ่มเข้าใจว่า
ต้องเข้าใจ "เห็น"
ไม่ใช่ไปทำอะไรเลย
แต่ว่า ต้องเข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริง
ว่า "เห็น" เกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำเลย
แล้ว "เห็น" ก็แค่ "เห็น"
แล้ว "เห็น" ก็ดับไป
อย่างนี้ค่ะ สะสมไป เข้าใจไป
โดยไม่หวังอะไรเลย ทั้งสิ้น
แต่ว่า ชีวิตประจำวัน ถ้ามีความเข้าใจถูก จะเข้าใจความหมายของคำว่า "อดทน"
มีในพระไตรปิฎกแน่นอน แล้วก็เป็นบารมีด้วย
แล้วเราจะอดทนอะไร ที่จะมีประโยชน์
นอกจาก "ฟัง"
ไม่ให้โลภะเกิด ที่จะทำให้เราพ้นที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไปหาสิ่งอื่น ทันที
เหมือนเวลานี้ ทุกคน บอกว่า "เห็น"
แต่ไม่รู้จัก "เห็น" แน่ๆ
เพราะอะไร?
"เห็น" เกิดแล้ว ดับ ใครรู้จัก?
ใช่ไหม?
นี่ก็ได้แต่ฟัง เรื่อง สิ่งที่มี
ฟังไป ฟังไป
สุตมยญาณ ปัญญา ที่สำเร็จ จากการ "ฟัง"
ไม่ใช่เพียงฟัง แล้วก็ปล่อยไป ไม่คิด ไม่ไตร่ตรอง
ฟังคำไหน เข้าใจว่า เดี๋ยวนี้ สิ่งที่มี ที่กำลังปรากฏ เป็นอย่างนั้น
"นี้" ทั้งนั้นเลย
"นี้" เสียง
ไม่มีใครทำให้ "เสียง" เกิดขึ้น
แล้ว "เสียง" ก็ดับไป
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มี ในชีวิตประจำวัน แต่ละหนึ่ง ละเอียดมาก
โดยไม่ตั้งใจ จะรู้
แต่ มีปัจจัยที่
เมื่อเข้าใจแล้ว จะไม่ให้ เข้าใจขึ้น หรือ?
ในสิ่งที่มี
ซึ่งตอนแรก ไม่ได้เข้าใจเลย
แต่พอฟัง ก็เริ่มเข้าใจ ที่ละเล็ก ทีละน้อย ทีละเล็ก ทีละน้อย
จนถึงวันที่ เข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น ฟังแล้ว ความเข้าใจที่สะสมมา เอาไปทิ้งไว้ที่ไหน?
ไม่ได้หายไปไหนเลย
สะสม จนกระทั่ง ถึงกาละ คือ "ขณะ" ที่สามารถเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ
ตรงตามที่ได้ฟัง
โดยความเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้น จึง ไม่ต้องทำ
ทำได้อย่างไร? ไม่มีการทำได้เลย
นอกจาก ขณะนั้น เข้าใจว่า "มีเรา" ที่ต้องการจะรู้ได้เร็ว
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ จึงไม่เผิน
แม้แต่โอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งบอกว่า เป็นคำสอน ที่ประมวลรวมคำสอนทั้งหมด
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกพระองค์
คือ ไม่ประมาท เว้นชั่ว
ต้องรู้เลยว่า "ไม่ใช่เรา"
แล้ววันนี้ล่ะคะ? เห็นไหม?
ไปอยู่ในหนังสือหมด ไปอยู่วันมาฆบูชา ใช่ไหม?
พอถึงวันมาฆบูชา ก็พูดเสียทีหนึ่ง
อยู่ตรงนั้นแหละ
แต่ว่า ทุกวันนี้ล่ะคะ?
เว้น "ชั่ว" เมื่อไหร่?
ถ้าไม่รู้จัก "ชั่ว" เว้นไม่ได้ ใช่ไหม?
แต่ขณะใดก็ตาม ที่ไม่ฟังธรรมะ ไม่เข้าใจสิ่งที่สะสมมา เป็นปรกติ
ไม่ให้เกิด ก็ไม่ได้
ความติดข้อง มากกมาย มหาศาล
ไม่เคย แม้คิด ที่จะเข้าใจ
จะละไหม?
ฝันมากเลย....แสนไกล.........
ละโลภะ เป็นไปไม่ได้เลย
ติดมากมาย ทุกวัน
แต่ เริ่มด้วย "ความเข้าใจ" ว่า "สิ่งนี้" มี
แล้วก็เริ่มจากคำที่ เริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า "เป็นสิ่งที่มีจริง" ชั่วคราว
กว่าจะ ไม่ใช่เรา หรือ ไม่ใช่สิ่งหนึ่ง สิ่งใด
ต้อง "ตรง" ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น บารมี ๑๐ เข้าใจชัดเจน ทุกบารมี
ตั้งแต่ อดทน
ถ้ามีคำถามว่า เมื่อไหร่? ทำอย่างไร?
ไม่ได้อดทนเลย ใช่ไหม?
ต้องการเร็วๆ
แต่ อดทน คือ รู้ว่า ยาก แน่นอน
ผู้ที่ทรงตรัสรู้ ตรัส "คำ" ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย
เป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง
คือ
"สิ่งนี้" ที่กำลังปรากฏ เกิด ดับ
เพราะฉะนั้น
คนที่จะรู้ความจริง จะไปรู้อื่น จากนี้ไหม?
ก็ต้องรู้อย่างนี้แหละ
แต่ เวลานี้ เมื่อไม่เป็นอย่างนี้
ก็เข้าใจคำว่า "อดทน"
ซึ่งเป็นบารมี
ถ้าขาดบารมี คือ ความอดทน ไม่มีทาง
ก็เดี๋ยวนี้ กำลังปรากฏ แล้วไม่รู้
แต่ "ผู้รู้" รู้ได้ โดยการทรงบำเพ็ญบารมี
ไม่ใช่หมายความว่า เราจะไม่มีคุณความดีอะไรเลย เหมือนเดิม ทุกวัน
จิตใจที่สะสม โลภะ โทสะ โมหะ ริษยา มานะ สำคัญตน อะไรต่างๆ นานา เยอะแยะหมด
ยังเต็มที่ แล้วก็เพิ่มขึ้นอีกด้วย
แล้วก็จะไปประจักษ์ สภาพธรรมะ ซึ่งเดี๋ยวนี้ กำลังเกิด ดับ
เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า จิต ระดับไหน? ที่สามารถที่จะเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะว่า แม้การฟัง ก็ยาก
ไม่ต้องไปถึงการรู้ลักษณะ ของสภาพธรรมะ ที่กำลังเกิด ดับ
แค่ฟัง ก็ยาก
ที่จะรู้ว่า อดทน หมายความว่าอย่างไร?
อดทน ก็คือว่า มีสิ่งที่ ตั้งแต่เกิดมา ก็มีทุกวัน
ไม่รู้ สักวัน
แต่เมื่อมีผู้ที่ตรัสรู้ และ ทรงแสดง
"ควรฟัง"
ควรสะสม ควรเห็นถูก เข้าใจถูก ทีละเล็ก ทีละน้อย
และ ต้องเป็นผู้ที่ "มั่นคง" ด้วย
เกิดมาแล้ว จะรู้อะไร?
อยู่ในโลกนี้ ไม่นาน
บางคนก็บอกว่านาน ถึงแม้ตั้งหลายหมื่นปี ก็ยังต้องจากโลกนั้นไป
ใช้คำว่าไม่นาน ก็ได้ เพราะว่าไม่ตลอดกาล
ไม่มีเลย ที่เกิดแล้ว จะไม่ตาย
แต่ เกิดมาทั้งที แล้วก็เป็นมนุษย์ด้วย แล้วก็สามารถ ที่จะมีโอกาส
บุญ ที่ได้สะสมไว้ แต่ปางก่อน ทำให้ ได้ยิน ได้ฟัง
แล้วก็เป็นโอกาส ที่จะได้ เข้าใจธรรมะ
เพราะฉะนั้น โอกาสมาถึงแล้ว
คือ โอกาส ที่ได้ฟังธรรมะ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ว่า สูงที่สุดในชีวิต
ไม่มีอะไรประเสริฐเท่า
คือ
ความเห็นที่ถูกต้อง ในสิ่งที่มี
แล้วก็มีจริงๆ ไม่ใช่หลอกลวง เอาสิ่งที่ไม่มี มาบอกว่ามี
ทุกคนรู้ว่า มี
แต่ก็...ยาก....ที่จะรู้ความจริง...
แต่ ฟังแล้ว ไม่ลืม
ไตร่ตรอง เห็นถูก เป็นสิ่งที่มีจริง
แล้ว ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
เพราะฉะนั้น จากวันหนึ่ง วันหนึ่ง เรื่องเยอะมาก
เดี๋ยวเรื่องนั้น เดี๋ยวเรื่องนี้
พอออกจากห้องนี้ ก็ลืมแล้ว ไปเรื่องอื่น ทันที
หรือ ทั้งๆ ที่กำลังอยู่ตรงนี้ ก็ยังคิดเรื่องอื่นได้ เห็นไหม?
แล้วยังไงล่ะคะ?
ถึงจะเข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในสิ่งที่กำลังปรากฏ
ซึ่งเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้น จากการได้ฟัง
เริ่มรู้ความจริง ที่ แต่ละหนึ่ง จริงๆ สะสมมา ไม่เหมือนกันเลย
แต่ละ "หนึ่งจิต" ที่เรียกว่า เป็นคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง
สะสมมา ที่ คนนั้นเท่านั้น ที่สามารถจะรู้ได้
เพราะ ขณะนี้ ใครคิดอะไร? ไม่มีใครรู้ได้เลย นอกจากจิต ที่กำลังคิด ในขณะนั้น
ซึ่งไม่ใช่จะไปรู้จิตคนอื่นได้
แต่ต้องรู้ สภาพธรรมะ ที่เป็น "ธาตุรู้" ซึ่งเกิด "หนึ่งขณะ" เท่านั้นเอง
แล้วก็ดับ แล้วก็เกิดต่อ อีกหนึ่งขณะ
ทีละ หนึ่งขณะ หนึ่งขณะ
เป็นสังสารวัฏฏ์ฏะ
เพราะเหตุว่า วัฏฏะ หมายความถึง อะไรคะ คุณคำปั่นคะ?
คุณคำปั่น ครับ โดยความหมายก็คือ หมายถึง การท่องเที่ยว วนเวียนไป
ซึ่งท่านอาจารย์ก็สรุป เป็นที่เข้าใจแล้ว
ก็คือ
สภาพธรรมะ ที่เกิด ดับ เป็นไปอยู่ แต่ละขณะ แต่ละขณะนี้ คือ วัฏฏะ ครับ
ท่านอาจารย์ ซึ่งก็คือ เดี๋ยวนี้!!!
เห็นไหม?
เพราะฉะนั้น "ทุกคำ" ไม่พ้นจาก "ขณะนี้" เลย
"เห็น" ดับ "ได้ยิน" เกิด "คิดนึก" ต่อ
วนเวียนอยู่ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
โดยไม่รู้เลยว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร
แต่เป็น "ธาตุรู้" ซึ่งต้องเกิด ตามเหตุ ตามปัจจัย แล้วก็ดับไป
สืบต่อมานาน ในสังสารวัฏฏ์ แล้วก็ต้องจากโลกนี้ไป
แต่ว่า สืบต่อไปอีก เรื่อยๆ อีก ต่อไปอีก
นาน......ไม่รู้จบ........
ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง ของสภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏ
นี่คือ ความจริง และ สิ่งทีมีจริง ก็ปรากฏให้เห็นจริงๆ ว่าเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น นอกจาก อดทน แล้ว
ยังต้องมีความ "มั่นคง" อธิษฐานบารมี ด้วย
หวังอะไร ในชีวิตคะ?
ได้แล้ว!!!
รู้ไหม? หวังอะไร? แล้วได้อะไร?
หวัง "เห็น" ก็เห็นแล้วไง?
มีใครไม่หวังเห็นบ้าง?
คะ?
หวัง "ได้ยิน" ก็ได้ยินแล้ว
จะเอาอะไรอีก?
ไม่จบ
ก็แค่เห็น แค่ได้ยิน แค่ได้กลิ่น แค่ลิ้มรส แค่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส
แล้วก็ "คิดนึก"
ถูกต้องไหม?
เป็นสิ่งที่เคยหวัง ไม่อยากให้หมดเลย
แม้เดี๋ยวนี้ ก็ยังหวัง
อย่าเพิ่งจากโลกนี้ไป
เพื่ออะไร?
จะเห็น จะได้ยิน จะได้กลิ่น จะลิ้มรส จะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส
หวังแล้ว ได้แล้วหมด
ยังไม่พอ
เพราะคิดว่า เป็นสิ่งที่ควรต้องการ
แต่ ความจริง ผู้ที่ทรงตรัสรู้ เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ตามความเป็นจริง ของสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้น โลกนี้ มี ๒ อย่าง
โลกของความไม่รู้ กับ โลกของความรู้
จะอยู่ฝ่ายไหน?
เท่านั้นเอง
ถ้าอยู่ฝ่ายรู้ บารมี ๑๐ ขาดไม่ได้เลย
สัจจะ คือ ความจริง
ใครจะให้ไปทำอย่างอื่น แล้วไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้
ไปไหม?
ทำไหม?
เอาไหม?
"สัจจะ" อยู่ที่ไหน?
"อธิษฐาน" อยู่ที่ไหน?
เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีทาง ที่จะกลับมาสู่ ความเห็นที่ถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ
ซึ่งเป็นอนัตตา เกิดแล้ว ตามเหตุ ตามปัจจัย
ถ้าเป็นผู้ไม่ตรง จะไม่ได้สาระ จากพระธรรม
ธรรมะ "ตรง" ผิดจากธรรมะ คือ "ไม่ตรง"
ไม่ได้สาระ
เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ มีธรรมะ ปรากฏ
ความจริงใจ สัจจะ ก็คือว่า รู้หรือยัง?
ยัง ก็คือ ยัง
รู้แค่ไหน? เปลี่ยนได้ไหม?
แค่นี้ มีนิดเดียวแค่นี้ แล้วให้มีมากๆ ได้ไหม?
เมื่อไม่ได้ ก็คือ บารมี
อดทน ที่รู้ว่า ไม่ได้รู้อย่างอื่นเลย
แต่ รู้สิ่งที่กำลังมี
เดี๋ยวนี้เอง!!!
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ แม้แต่ว่า กำลังมี เดี๋ยวนี้เอง
อยู่ที่ไหน?
ในเมื่อ ทุกอย่าง เป็นธรรมะ
อยู่ที่ "กำลังเห็น"
เดี๋ยวนี้เอง ที่ "กำลังเห็น"
รู้จริงๆ เข้าใจจริงๆ คือ เข้าใจ "เห็น"
ไม่ต้องไปทำอะไรเลย
เพราะ "ไม่มีเรา" จะทำเลย
แต่มี จิต เจตสิก มีรูป มีธรรมะ ทั้งหมดเลย
เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจถูก ความเห็นถูก อย่างนี้
เราก็ไม่ขวนขวายไป รู้ผิด ทำผิด หันหลัง ให้พระสัทธรรม
ไม่มีทาง ที่จะกลับมาเจอ อีกเลย
แต่การที่ เรามีความมั่นคง ว่า เดี๋ยวนี้ "เห็น" มี
และ กำลังเห็น จริงๆ
ตอนนี้ กำลังอยู่ตรง "เห็น" นิดหนึ่ง
แต่ รู้ความจริงว่า ไม่ได้เข้าใจ "เห็น"
แต่มี "เห็น"
เพราะฉะนั้น อาจหาญ ร่าเริง ที่จะเข้าใจ "เห็น"
นี่คือ ผู้ที่ "ตรง"
สัจจะ อธิษฐาน วิริยะ ทุกอย่าง
เพราะว่าอะไรคะ?
ต้องรู้จิต ที่สะสมมา
ไม่ใช่ไปเอาจิต ของผู้ที่ใกล้จะเป็นพระโสดาบัน มาเป็นจิตเรา
แต่ว่า จิตนี้ ซึ่งทุกคน "ตรง"
และ ใครจะรู้ใคร? นอกจาก ตัวเอง ว่าวันนี้ มีอกุศล เยอะมาก
รับประทานอาหาร เมื่อกี้นี้ เท่าไหร่แล้วคะ?
แค่มื้อเดียว
แล้วกี่มื้อ?
และ ไม่ใช่แต่เฉพาะ อาหาร
เพราะฉะนั้น จิตที่ไม่สะอาดอย่างนี้ แล้วจะไปรู้แจ้งอริยสัจจธรรม
คิดดูสิ เป็นไปได้ไหม?
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทุกคน "ลืม" นะคะ
ลืมชำระจิตให้ค่อยๆ สะอาดขึ้นก่อน ด้วยความเข้าใจธรรมะ
จึงสามารถเข้าใจ สภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏ ได้
เพราะว่า ไม่มากด้วย โลภะ ด้วยโทสะ ด้วยอกุศลใดๆ ที่สะสมมาแล้ว มากมาย
แล้วก็ กำลังสะสมต่อๆ ไป ด้วย
เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นอันตราย และ โทษ ของอกุศล
ซึ่งกั้น ไม่ให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังมี
ก็จะรู้ได้ว่า การฟัง เท่านั้น ไม่พอ
สีลมยญาณ ศีล สำเร็จ จากการฟัง คือ ปัญญา
เพราะฉะนั้น มีศีล ธรรมดา ปรกติ
แต่ ไม่เข้าใจ
อย่างนั้น จะถึงการดับกิเลสไหม?
ที่บางคน เข้าใจว่า ต้องตั้งต้นด้วยศีล สมาธิ ปัญญา
แล้วอย่างไรหรือ?
ศีลอะไร? สมาธิอะไร? ปัญญาอะไร?
ไม่ศึกษา ด้วยความละเอียด ด้วยความเคารพ ก็คิดว่า ต้องไปทำศีล
แต่ว่า ศีล เป็นเรา ใช่ไหม? ถ้าไม่มีปัญญา
และ ศีล ที่ "เป็นเรา" น่ะหรือ?
ที่จะดับกิเลสได้
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา ในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าภาพ
คุณสุภาพรรณ ชูสวัสดิชัย และ ครอบครัว
คุณนวลใจ ธนานุรักษากุล และ เพื่อนๆ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
หวังอะไร ในชีวิตคะ?
ได้แล้ว!!!
รู้ไหม? หวังอะไร? แล้วได้อะไร?
หวัง "เห็น" ก็เห็นแล้วไง?
มีใครไม่หวังเห็นบ้าง?
คะ?
หวัง "ได้ยิน" ก็ได้ยินแล้ว
จะเอาอะไรอีก?
ไม่จบ
-------------------------
ขออนุโมทนาพี่วันชัย ภู่งาม ที่เก็บภาพอย่างสวยงาม
และ รายละเอียด ได้เป็นอย่างดี และ ธรรมได้อย่างไพเราะอย่างยิ่ง ครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา ในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าภาพ
คุณสุภาพรรณ ชูสวัสดิชัย และ ครอบครัว
คุณนวลใจ ธนานุรักษากุล และ เพื่อน
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านผู้จัดให้มีการสนทนาธรรม คือ
คุณสุภาพรรณ ชูสวัสดิชัย และ ครอบครัว
คุณนวลใจ ธนานุรักษากุล และ เพื่อน
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
ที่ถายทอดความงามของพระธรรม พร้อมภาพ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของเจ้าภาพ
และผู้ร่วมสนทนาธรรม ในครั้งนี้ด้วยค่ะ
หนังใหญ่ วัดขนอน ราชบุรี
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา ในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าภาพ
คุณสุภาพรรณ ชูสวัสดิชัย และ ครอบครัว
คุณนวลใจ ธนานุรักษากุล และ เพื่อนๆ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านผู้จัดให้มีการสนทนาธรรม คือ
คุณสุภาพรรณ ชูสวัสดิชัย และ ครอบครัว
คุณนวลใจ ธนานุรักษากุล และ เพื่อน
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
ที่ถายทอดความงามของพระธรรม พร้อมภาพ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ