บุคคลที่ได้ ญาณ ยังไม่ถือว่าเข้าสู่อริยะ จริงหรือ
ญาณ 1-16 ถ้าบุคคลได้ญาณ 1 แบบนี้ถือว่าได้เข้าสู่โสดาบันแล้ว หรือยังไม่เข้าอริยมรรค
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วิปัสสนาญานขั้นที่หนึ่ง ยังไม่ถึงความเป็นพระอริยะ ยังเป็นปุถุชนอยู่
ซึ่งการถึงความเป็นอริยะ คือ วิปัสสนาญานขั้นที่ 14 ขึ้นไป คือ เริ่มจากมรรคญาณ ที่เป็นมรรคจิตเกิดขึ้นครับ
เชิญอ่านรายละเอียดวิปัสสนาญาณดังนี้ครับ
วิปัสสนาญาณ
วิ (วิเศษ , แจ้ง , ต่าง) + ปสฺสนา (การเห็น) + ญาณ (ความรู้ , ปัญญา) ปัญญาที่เห็นแจ้ง , ปัญญาที่เห็นอย่างวิเศษ , ปัญญาที่เห็นโดยประการต่างๆ หมายถึง ความสมบูรณ์ของปัญญาซึ่งเป็นผลที่เกิดจากการอบรมสติปัฏฐาน ได้แก่ปัญญาเจตสิกที่เกิดกับมหากุศลจิตญาณสัมปยุตต์ ที่เห็นแจ้งสภาพธรรมโดยประการต่างๆ คือ เห็นแจ้งลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมโดยความเป็นอนัตตา เห็นแจ้งความเกิดดับของนามธรรมรูปธรรม เห็นนามธรรมรูปธรรมโดยความเป็นภัย เห็นโดยความเป็นโทษ เห็นโดยความเป็นผู้ใคร่ที่จะพ้นจากสังขาร ฯลฯ
วิปัสสนาญาณมี ๑๖ ขั้น คือ
๑. นามรูปปริจเฉทญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งความแยกขาดจากกันของนามธรรมและรูปธรรมที่ละอารมณ์ โดยสภาพความเป็นอนัตตา
๒. ปัจจยปริคคหญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้ง ความเป็นปัจจัยของนามธรรมและรูปธรรม คือ รู้ชัดว่านามรูปแต่ละอย่างมีปัจจัยเป็นเหตุให้เกิด
๓. สัมมสนญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับสืบต่อของนามธรรมรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ทำให้เห็นโทษของการเกิดดับได้ไม่ชัดเจน
๔. อุทยัพพยญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้ง การเกิดดับของนามธรรมรูปธรรมอย่างละเอียด เป็นวิปัสสนาที่มีกำลัง เห็นโทษของการเกิดดับของสภาพธรรมได้ยิ่งขึ้น
๕. ภังคานุปัสสนาญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้ง ความดับทำลายของนามรูป โดยไม่ใฝ่ใจถึงการเกิด
๖. ภยตุปัฎฐานญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งนามรูป โดยเห็นความเป็นภัยในสังขารทั้งหลาย
๗. อาทีนวานุปัสสนาญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งรูป โดยเห็นความเป็นโทษในสังขารทั้งหลาย
๘. นิพพิทานุปัสสนาญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งนามรูป โดยเห็นทุกข์โทษภัย จนเกิดความเบื่อหน่ายในสังขารธรรมทั้งปวง
๙. มุญจิตุกัมยตาญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งนามรูป โดยความที่ใคร่จะพ้นจากสังขารธรรมทั้งปวง
๑๐. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งลักษณะทั้ง ๓ ของนามรูป เป็นเหตุที่จะเปลื้องตนให้พ้นจากสังขารธรรม
๑๑. สังขารุเบกขาญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งลักษณะทั้ง ๓ ของนามรูปที่คมกล้ายิ่งขึ้น จนเกิดความมัธยัสถ์ วางเฉยในสังขารธรรมทั้งปวง
๑๒. อนุโลมญาณ ปัญญาในอนุโลมชวนะ ๓ ขณะในมัคควิถี (บริกรรม อุปจาร อนุโลม) คล้อยตามเพื่อการบรรลุมรรค ผล นิพพาน
๑๓. โคตรภูญาณ ปัญญาในโคตรภูชวนะ กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ ข่มเสียซึ่งโคตรปุถุชนเพื่อถึงอริยโคตร เป็นอาวัชชนแก่มรรคญาณ
๑๔. มรรคญาณ ปัญญาในมัคคจิตซึ่งเป็นโลกุตระ สำเร็จกิจ ทำลายกิเลส ดับวัฏฏทุกข์ ปิดประตูอบาย ๔ เป็นขณะที่ถึงพร้อมด้วยโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
๑๕. ผลญาณ ปัญญาในผลจิตที่เกิดต่อกัน ๒ – ๓ ขณะ เสวยวิมุตติสุขอันปราศจากกิเลสซึ่งอริยมรรคประหารแล้ว
๑๖. ปัจจเวกขณญาณ ปัญญาในปัจจเวกขณวิถีอันเป็นโลกียะพิจารณามรรค ผล นิพพาน กิเลสที่ละแล้ว และกิเลสที่เหลืออยู่รวม ๕ วาระ สำหรับพระอรหันต์ไม่มีกิเลสที่เหลืออยู่ให้พิจารณา จึงมีปัจจเวกขณวิถีเพียง ๔ วาระ ปัจจเวกขณวิถีของพระอริยบุคคลทั้งหมดจึงมี ๑๙ วาระ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การอบรมเจริญปัญญา ต้องใช้เวลาหรืออาศัยเวลาในการสะสมอบรมที่ยาวนาน ไม่ใช่วันเดียว ชาติเดียว ค่อยๆ สั่งสมความเข้าใจธรรมทีละเล็กทีละน้อยในแต่ละวันที่ชีวิตดำเนินไปอยู่นี้ บางครั้งเป็นไปตามอำนาจของกิเลส ทั้งโลภะ (ความติดข้องเพลิดเพลิน) โทสะ (ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ) โมหะ (ความหลง ความไม่รู้) บางครั้งก็เป็นโอกาสของการเจริญกุศลประการต่างๆ ตามสมควร แต่อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต คือ การได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง อวิชชา (ความไม่รู้) ที่ได้สั่งสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์นับชาติไม่ถ้วน ก็จะค่อยๆ เบาบางลงไปตามลำดับของความเข้าใจ เพราะฉะนั้นแล้ว จึงต้องมีความอดทนที่จะศึกษาที่จะฟังพระธรรมต่อไป เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง ยิ่งๆ ขึ้นไป
ท่านที่ได้บรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ได้นั้น ท่านก็ได้อบรมเจริญปัญญาเป็นเวลาที่ยาวนานมาแล้วทั้งนั้น เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมปัญญาเจริญขึ้นคมกล้าขึ้นก็ทำให้ท่านได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสตามลำดับขั้นได้
เมื่อถึงมรรคญาณ ผลญาณ ก็สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นจริงๆ แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะจะขาดความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นไม่ได้เลยทีเดียว การดับกิเลส เป็นเรื่องปัญญา ไม่ใช่เรื่องไปทำอะไรด้วยความเห็นผิดหรือด้วยความเป็นตัวตนทั้งสิ้น วิปัสสนาญาณเป็นเรื่องของปัญญาที่แทงตลอดสภาพธรรม แต่ละขั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไกล การที่วิปัสสนาญาณขั้นต่างๆ จะเกิดขึ้นได้นั้น เป็นผลมาจากการอบรมเจริญสติปัฏฐานระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงและที่สติปัฏฐานจะเกิดได้ ก็ต้องมีการฟังพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ เพิ่มพูนความมั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ จึงจะเป็นเหตุปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิดได้ ทั้งหมดเป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...