เวทนานุปัสสนา
ขอเรียกแทนตัวเองว่า ผม เพราะตอนนี้ยังเป็นภิกษุ อยู่นะครับ
เรื่องมีความเป็นมาแบบนี้ครับ คือตอนนี้ผมบวชอยู่ กะว่าบวชประมาณ 1 เดือนครับ แล้วคือก่อนผมจะบวชผมบอกสีกาว่า 'จะไม่เอาโทรศัพท์มาใช้' แต่สุดท้ายผมก็ต้องเอามาครับ เพื่อเอาไว้ติดต่อธุระกับโยมทางบ้าน แล้วผมดันไปกดต่อ wifi ของที่วัด ทีนี้ line มันก็เด้งขึ้นมาครับ สีกาส่ง line มาว่า 'คิดถึง' เป็นระยะๆ เลยครับ เพราะเค้าไม่รู้ว่าผมเอาโทรศัพท์มาใช้แล้ว พอผมเห็นผมก็ตกใจครับ จึงส่งข้อความ (sms) กลับไปบอกประมาณว่า 'เลิกส่งไลน์มาได้แล้วครับ ผมกลัวอาบัติ ผมสบายดีครับ ไม่ต้องเป็นห่วง' หลังจากนั้นสีกาก็ไม่ได้ส่งอะไรมาอีกเลย
ประเด็นคือตัวสีกาคงไม่ได้ตั้งใจจะส่งมาให้ผมเห็นตอนบวชหรอกครับ คงกะว่าส่งมาแล้วให้ผมออกไปอ่านตอนที่ลาสิกขาไปแล้ว ส่วนตัวผมก็ไม่ได้คิดว่าเค้าจะส่งมาแบบนี้ ผมจึงอยากถามหน่อยครับ ว่าถ้าเป็นแบบนี้ผมจะอาบัติสังฆาทิเสสไหมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เวทนา เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นความรู้สึก เกิดร่วมกับจิตทุกประเภท ตามสมควรแก่จิตประเภทนั้นๆ เวทนา ซึ่งเป็นความรู้สึกนั้น มี ๕ คือ ความรู้สึกที่เป็นสุขทางกาย (สุขเวทนา) ความรู้สึกที่เป็นสุขทางใจ (โสมนัสเวทนา) ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ทางกาย (ทุกขเวทนา) ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ทางใจ (โทมนัสเวทนา) และ ความรู้สึกเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ (อทุกขมสุขเวทนา หรือ อุเบกขาเวทนา) ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นตามสมควรแก่จิตประเภทนั้นๆ
การเจริญสติปัฏฐาน เป็นเรื่องของปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สติเกิดขึ้นระลึกและปัญญารู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ ที่เป็นสภาพธรรมทั้งเวทนา จิต เจตสิก อะไรก็ตามที่มีจริงที่เกิดขึ้น ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ สามารถเป็นอารมณ์ หรือ เป็นสิ่งที่ถูกสติและปัญญา หรือ สติปัฏฐาน เกิดรู้ได้ ครับ
เวทนานุปัสสนา
เวทนา (ความรู้สึก) + อนุ (บ่อยๆ เนืองๆ ) + ปสฺสนา (การเห็น, การพิจารณา)
การพิจารณาเห็นเวทนาบ่อยๆ เนืองๆ หมายถึง สติปัฏฐานขณะที่มีเวทนาเป็นอารมณ์ เป็นการระลึกศึกษาที่ลักษณะของเวทนาซึ่งเคยยึดถือว่า เป็นเรารู้สึกหรือความรู้สึกของเราตามปกติ คือ ไม่มีการจดจ้องหรือเพ่งเล็ง ที่จะต้องการรู้สภาพของเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งมาก่อน แต่เพราะการสะสมความเข้าใจจากการฟัง การพิจารณาเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติพร้อมสัมปชัญญะเกิดขึ้น รู้ลักษณะของเวทนาซึ่งปรากฏโดยความเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ ที่เคยยึดถือผิดและปรารถนาแต่สุขเวทนา เป็นการละวิปลาสที่ยึดถือว่าสุขในสิ่งที่เป็นทุกข์ เพราะโดยสภาพของเวทนาซึ่งเป็นนามธรรมนั้นไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงจึงเป็นทุกข์ แต่เพราะยังความวิปลาสอยู่ จึงยึดถือในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข
ซึ่งในความเป็นจริง แม้เวทนา ความรู้สึก ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง จึงเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน คือ ให้ สติและปัญญาเกิดระลึกรู้ได้ แต่ต้องเข้าใจว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แม้แต่การจะเกิดสติปัฏฐานหรือไม่ ก็ไม่มีตัวตนที่จะบังคับให้สติเกิด หรือไม่เกิด เพราะบังคับไม่ได้เลย รวมถึงการจะรู้เวทนา ความรู้สึก ก็ไม่มีตัวตนที่จะบังคับให้สติเกิด ระลึกรู้เวทนา เพราะแล้วแต่ว่า สติจะเกิด ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมอะไรโดยไม่เจาะจง
ซึ่งการรู้เวทนา โดยการเป็นเราที่รู้ว่า เป็นเราที่รู้สึก เป็นเราสุข เป็นเราทุกข์ เป็นเราเฉยๆ ไม่ใช่เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะเป็นการคิดนึกถึงสภาพธรรมที่ดับไปแล้ว ไม่ใช่การรู้ลักษณะของเวทนาที่กำลังเกิดจริงๆ เพราะต้องเป็นการรู้ลักษณะของเวทนาโดยไม่ได้คิด แต่ขณะนั้นมีเพียงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเท่านั้น ครับ
การเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ว่าเป็นเรื่องที่จะต้องอาศัยการฟังในสิ่งที่มีจริงเนืองๆ บ่อยๆ พิจารณาเหตุผลแล้วก็เจริญเหตุให้สมควรแก่ผลด้วย การที่จะไม่ผิดก็คือ ตั้งต้นที่การฟังพระธรรมให้เข้าใจ เพราะฉะนั้น แทนที่จะทำยังไงให้รู้ได้ ก็ให้เข้าใจถูกว่าทำไม่ได้ แต่อบรมเหตุ คือ ฟังพระธรรมต่อไป เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ที่จะรู้ ครับ
ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง มีจริงในขณะนี้ หนทางที่จะเป็นไปเพื่อการรู้ธรรมตามความเป็นจริง ก็มีจริง แต่ต้องเป็นหนทางแห่งปัญญา เพราะฉะนั้นก็ต้องกลับมาที่ฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ แม้ว่าจะมีสภาพธรรมที่มีจริง ก็ไม่สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้เลย ย่อมไม่มีเหตุที่จะให้สติปัฏฐานเกิดขึ้นได้เลย ครับ
เชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ ครับ
ความเข้าใจ...เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เชิญคลิกฟังคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ ครับ
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในมหาสติปัฏฐานสูตร
รู้ชัดเมื่อเสวยเวทนาใดเวทนาหนึ่ง
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรื่องของสติปัฏฐาน เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่า เป็นธรรม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม ซึ่งไม่พ้นไปจากขณะนี้เลย ทุกขณะเป็นธรรม ควรรู้ ควรศึกษาให้เข้าใจ จะเห็นได้ว่าพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของคำสอน ก็คือเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ หรือจะกล่าวว่า "ทุกคำในพระไตรปิฎก คือ ขณะนี้" ก็ได้ ถ้าไม่อาศัยการฟังเรื่องของสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นปกติ บ่อยๆ เนืองๆ จนมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นไปตามลำดับแล้ว ย่อมไม่ได้เหตุได้ปัจจัยให้สติเกิดขึ้นหรือเจริญขึ้นได้ เพราะเหตุว่าที่ตั้งให้สติระลึกและปัญญารู้ตรงลักษณะนั้น คือสภาพธรรมที่มีในขณะนี้นั่นเอง ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน เวทนา ความรู้สึกก็มีจริงๆ การเจริญสติปัฏฐาน เป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่การดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ในที่สุด เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม พิจารณาพระธรรมที่พระผู้มีสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งให้สติและปัญญาเกิดขึ้น ระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งจะเป็นไปเพื่อการละคลายความยึดถือในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้ ดังนั้น หนทางเดียวที่จะเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย คือ การเจริญสติปัฏฐาน โดยเริ่มที่การฟังพระธรรมให้เข้าใจ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
การรู้เวทนา ปัญญารู้ ไม่ใช่เราที่รู้ ไม่ประมาทที่จะฟังพระธรรมต่อไป จะรู้ได้เอง ค่ะ
ขอขอบคุณในความกรุณาของทุกท่านที่ให้ปัญญาแก่ข้าพเจ้าครับ สาธุ สาธุ สาธุอนุโมทามิ