บ้านธัมมะหลังใหม่ ที่หาดใหญ่

 
kanchana.c
วันที่  29 มี.ค. 2557
หมายเลข  24649
อ่าน  2,242

กลับมาจากหาดใหญ่แล้ว ๒ วัน ประทับใจมากกับสมาชิกชมรมบ้านธัมมะที่หาดใหญ่ แต่เหนื่อยและอ่อนเพลียจากภาระที่ต้องพาตาไปเห็นสิ่งสวยงาม แปลกใหม่ในที่แสนไกลและหนาวเหน็บ เพิ่งกลับมา ๑ วันก่อนเดินทางไปหาดใหญ่ เลยไม่ได้รายงานข่าวสดตามที่เคยทำ เพราะทราบว่าคนที่ไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วย อยากจะทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ตามปกติของคนทั่วไปที่อยากจะรู้ไปหมดทั้งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ แต่ไม่เคยอยากรู้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เลย ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่ควรรู้อย่างยิ่ง เพราะเป็นประโยชน์ที่จะทำให้การเดินทางไกลอันแสนกันดารในสังสารวัฏฏ์สั้นลงได้

ได้ร่วมเดินทางไปกับคณะท่านอาจารย์ทั้งหมด ๑๓ คน (เฉพาะเที่ยวบินเดียวกัน มีผู้เดินทางไปก่อนอีกหลายคน รวมทั้งหมด ๓๑ คน) ในวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๗ ไปถึงสนามบินหาดใหญ่ตามเวลา คณะที่เดินทางไปก่อนรวมทั้งผู้ที่ขับรถส่วนตัว เช่นคุณวันชัย ภู่งาม และครอบครัว คุณสุพิชา และทีมกล้องและวิทยากรบางส่วนเดินทางโดยรถตู้ และเจ้าภาพ คุณโก๋ พนิดา มิตรปวงชน คุณชลธี – คุณสุคันธรส ภู่ชลธี เดินทางมาต้อนรับที่สนามบิน ถึงโรงแรมเอเซียนรับประทานอาหารกลางวันเลิศรส แล้วให้คณะพักผ่อน ก่อนสนทนาธรรมช่วงแรก เวลา ๑๔.๐๐ น. – ๑๖.๐๐ น.

เราทำตามโปรแกรมที่เจ้าภาพกำหนด คือรับประทานอาหารกลางวันแล้วพักผ่อนหลับสนิท ตื่นขึ้นมา ๑๖.๐๕ น. รีบลุกขึ้นมาไปห้องประชุม โชคดีที่มีผู้สนใจถามกันมาก เลยต่อเวลาถึง ๑๖.๓๐ น. ได้ร่วมฟังการสนทนาด้วยเกือบครึ่งชั่วโมง ทำให้ประทับใจคนใต้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรม (ซึ่งก็เหมือนกัน คือ ต่างก็เป็นธรรมะที่เกิดดับ ไม่คงที่เหมือนกัน) ในทางโลกนั้นคนใต้เป็นคนอดทน มุ่งมั่น ร่วมต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ไม่ว่าจะยาวนานเท่าไร คนใต้ก็ยังปักหลักสู้อย่างไม่ท้อถอย ทำให้คนกลางอย่างเราละอายใจ ต้องออกไปร่วมสู้ด้วยหลายครั้ง ในทางธรรม คนใต้สนใจศึกษาธรรมะจริงจัง ไม่ต้องการอะไร นอกจากความเข้าใจ เราได้ฟังธรรมะเกือบครึ่งชั่วโมงพอจำใจความได้บ้างว่า

...เวลาที่เข้าใจธรรมะ เป็นเวลาที่มีค่าที่สุดในชีวิต และในสังสารวัฏฏ์ด้วย

... มีคนบอกว่า ฟังธรรมะเพื่อหมดกิเลส ท่านอาจารย์บอกว่า ยังไม่หมดกิเลสตอนนี้หรอก เพราะไม่มีกิเลสอยู่ไม่ได้ ฟังเพื่อเข้าใจความจริงก่อน

...เกิดมาพร้อมภาระ คือต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ต้องคิดนึกไปเรื่อยๆ จากขณะหนึ่งสู่ขณะหนึ่ง ไม่สิ้นสุด จนกว่าจะเริ่มเข้าใจความจริง และเปลี่ยนความคิดว่า มีตัวตน เป็นไม่มีตัวตน

... ทุกคนเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ตามกุศลและอกุศลที่ได้สะสมมายาวนาน ถ้าเหตุไม่ดี ผลจะดีได้ไหม เมื่อยังมีทั้งเหตุที่ดีและไม่ดี ผลจึงดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตามเหตุปัจจัย

... เมื่อเริ่มเข้าใจธรรมะ คือเริ่มเข้าใกล้พระรัตนตรัย เป็นอุบาสก อุบาสิกาที่แท้จริง

เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงที่ได้ฟัง (ไม่ใช่เพียงได้ยิน) จับใจความได้เพียงเท่านี้ค่ะ แต่ก็เป็นประโยชน์กับตัวเองจริงๆ ท่านที่ฟังอย่างตั้งใจ อย่างท่านจักรกฤษณ์และคุณแอ๋วที่ปรากฏกายเฉพาะเวลาฟังธรรมเท่านั้น (ราวกับนินจาที่หายตัวได้) คงจะเพิ่มเติมข้อความที่ขาดหายไปอย่างเคยนะคะ

วันรุ่งขึ้นหลังรับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมแล้ว ลงมาเดินดูบรรยากาศรอบๆ โรงแรม เห็นแม่ชี ๒ คนเดินเข้ามา จึงไปต้อนรับ สอบถามว่า มาจากจังหวัดพัทลุง ทราบข่าวจากคุณโก๋ที่โทรศัพท์ไปบอก และพบสุภาพบุรุษอีกท่านหนึ่งมาแนะนำตัวว่า ขี่จักรยานออกกำลังกายตอนเช้า ผ่านโรงแรมเห็นป้ายโฆษณาว่า ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มาสนทนาธรรมที่นี่ ดูวันที่แล้ว ใช่วันนี้แน่นอน จึงกลับบ้านเอาจักรยานไปเก็บ แล้วมาร่วมสนทนาธรรมด้วย เพราะเคยชมรายการบ้านธัมมะในเช้าวันเสาร์ ไม่ได้เป็นสมาชิกชมรมแต่อย่างไร (ตอนนี้คงเป็นสมาชิกแล้ว เพราะการได้รวบรวมรายชื่อ และเบอร์โทรศัพท์ไว้นั้นเป็นประโยชน์มากในการติดต่อ เพื่อแจ้งข่าวธรรมะ) ส่วนเราเพิ่งสังเกตเห็นป้ายต้อนรับที่คณะผู้จัดทำไว้ เพราะวันที่มาถึงรถจอดด้านหลังโรงแรม จะเห็นเหตุปัจจัยของแต่ละคนที่แตกต่างกันที่ทำให้ชีวิตผันมาให้ได้พบกัน และที่สำคัญได้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน ผู้จัดเล่าว่า ไม่ได้รู้จักคุณโก๋มาก่อน เหตุบังเอิญทำให้พบกัน เมื่อรู้จักกันแล้วก็คิดจัดสนทนาธรรมที่หาดใหญ่ เพราะท่านอาจารย์ไม่เคยไปสนทนาธรรมทางภาคใต้เลย เมื่อติดต่อกับท่านอาจารย์แล้ว ก็จัดในวันที่ท่านว่าง ซึ่งมีเวลาเตรียมตัวเพียง ๓ อาทิตย์ที่จะแจ้งให้คนใต้ที่เป็นสมาชิกชมรมบ้านธัมมะทราบว่า มีการสนทนาธรรม ด้วยการขอให้คุณพรชัย เจ้าหน้าที่มูลนิธิคัดรายชื่อและเบอร์โทรศัพท์เพื่อแจ้งข่าว เธอเคยทำงานด้านประชาสัมพันธ์มาก่อน จึงทำได้ดีมากในเวลาจำกัดเช่นนี้

วันนี้ได้พบคุณพวง คุณจุ๊ ที่เคยไปอินเดียด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน ทั้ง ๒ คนมีอาชีพทำสวนยาง เธอเล่าว่า ได้ฟังธรรมมากตอนออกไปกรีดยาง เวลาตี ๒ ตี ๓ วันนี้มาฟังธรรมพร้อมคุณแม่อายุ ๗๙ ปี ที่ฟังท่านอาจารย์มากว่า ๒๐ ปี ท่านมีลูกถึง ๑๑ คน มีผู้หญิง ๕ ผู้ชาย ๖ ลูกสาวทุกคนฟังธรรมกับคุณแม่ และวันนี้ก็มาฟังถึง ๕ คน ส่วนลูกชายมีหน้าที่สนับสนุน คือ โหลดลงโทรศัพท์มือถือให้คุณแม่และพี่สาวได้ฟังทุกเวลาที่ต้องการ วันนี้พวกลูกชายไปทำหน้าที่ช่วยชาติกับลุงกำนันที่สวนลุมพินี กรุงเทพ เมื่อคนที่หาดใหญ่รู้ว่า คุณแม่ฟังธรรมมานานแล้ว ก็ถามว่า สติปัฏฐานเกิดหรือยัง คุณแม่ก็ตอบอย่างสบายใจว่า ฟังไปเรื่อยๆ ให้เข้าใจขึ้นเท่านั้น ไม่ได้หวังว่าสติปัฏฐานจะเกิด

วันนี้ยังได้พบครอบครัวน้องซุง จันทนา ส่องแสงจินดา พี่สาวน้องสาวมาฟังกันหลายคน เสียดายที่น้องซุงติดสัมมนาเลยไม่ได้มาทำหน้าที่เจ้าบ้าน

ตามประสาของคนอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นไปหมด จึงสัมภาษณ์ผู้ร่วมสนทนาธรรมเท่าที่โอกาสอำนวย คนที่นั่งร่วมโต๊ะรับประทานด้วยกัน หรือเดินผ่านกันแล้วยิ้มให้ ก็จะตรงไปสัมภาษณ์ทันที ถ้าไม่อยากให้คนอื่นรู้ความลับ อย่าเผลอเดินผ่านนะคะ เป็นเหยี่ยวข่าวที่คอยจิกหาข้อมูลเป็นอาหารนำมาเขียน แต่ก็เลือกเฉพาะที่เป็นประโยชน์เท่านั้น

วันนี้ร่วมสนทนาทั้งวัน แต่ก็เหมือนวิญญาณไม่อยู่กับร่าง (พูดตามประสาชาวบ้าน ความจริงแล้วจิตกับกายในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ต้องอยู่ด้วยกันเสมอ ขณะเห็น จิตก็อยู่ที่จักขุปสาทรูป .... จริงๆ แล้วภวังคจิตเกิดมากกว่าวิถีจิต) เพราะเวลาต่างกับสถานที่ไปเยี่ยมเยือน ๗ ชั่วโมง ยังหกคะเมนตีลังกาอยู่ เวลากลางวันเป็นกลางคืน กลางคืนเป็นกลางวัน นั่งหลับคอพับคออ่อน เหมือนไก่ต้มที่แขวนในร้านข้าวมันไก่ ตื่นขึ้นมาก็พยายามคิดว่า ง่วงก็เป็นสภาพธรรมะอย่างหนึ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับ เมื่อเกิดขึ้นก็ทำกิจท้อถอยหดหู่ เซื่องซึม ไม่ผ่องใส ไม่ใช่กุศลแน่นอน แต่ก็ยังมีเหตุปัจจัยให้ง่วงต่อไป คงเพราะอายุมากด้วย ทำให้ปรับตัวปรับเวลาได้ช้า แต่เวลาตื่นขึ้นมาก็พยายามจับใจความว่า ท่านอาจารย์พูดอะไรบ้าง พอได้เล็กน้อย

...ปัจฉิมวาจาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมเป็นธรรมดา จงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด

... ไม่ประมาทตั้งแต่ต้น คือ ทุกอย่างเป็นธรรมะ

... ท่านอาจารย์บอกว่า บ้านธัมมะเป็นบ้านหลังใหญ่ที่จะคุยกันเรื่องอะไรก็ได้ เพราะทุกอย่างเป็นธรรมะ ถ้าไม่เข้าใจธรรมะในขณะนี้ ธรรมะก็จะอันตรธานในขณะนี้ เข้าใจเมื่อไร ธรรมะก็ยังไม่อันตรธานจากความเข้าใจ จึงมีผู้ถามเรื่องผี เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ

...มีผู้ไม่เชื่อเรื่องผี แม้อาจารย์คำปั่นจะเล่าประสบการณ์ของตัวเองว่า เคยเห็นผีหัวขาดก็ยังไม่เชื่อ (แสดงว่า ไม่น่าเชื่อถือหรือเปล่า ล้อเล่นค่ะ คุณสามแท่นเจ้าของคำถามบอกว่า ไม่เชื่อเรื่องผี เพราะเคยทำผีหลอกคนอื่นให้ตกใจกลัวมาก่อน เลยไม่เชื่อว่า ผีมีจริง) ท่านอาจารย์บอกว่า ถ้าเข้าใจเรื่องจิตดีแล้ว จะเข้าใจเรื่องอื่นๆ ด้วย เพราะไม่ว่าจะเกิดที่ไหน ภพภูมิใด มีรูปร่างร่างกายอย่างไร จะหัวขาด หรือมีหัว ก็ต้องมีจิตที่ต้องเห็น ได้ยิน ... คิดนึก สุข ทุกข์ แต่เมื่อยังไม่เข้าใจสักจิตเดียว (จิตเห็น หรือจิตได้ยิน ฯลฯ) ก็ไม่สามารถเข้าใจเรื่องอื่นๆ ได้ ผีก็ต้องมีจิตที่เกิดดับ มีนามธรรมและรูปธรรมที่ต่างกันไปตามกรรม

...เจ้ากรรมนายเวรมีไหม ท่านอาจารย์ถามว่า เราเกิดมาเองหรือใครส่งมาเกิด อะไรเป็นเวร อะไรเป็นกรรม กรรมก็คือเจตนาเจตสิก ความจงใจกระทำกุศลและอกุศล เวร คืออกุศลกรรมที่ทำไว้แล้ว ก็ย่อมส่งผลให้ได้รับความเดือดร้อน เป็นทุกข์

...ที่เกิดมาเป็นคนนี้ เป็นเรา หรือเป็นธรรมะเกิด เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร

...เห็นแล้วไม่คิดได้ไหม ได้ยินแล้วไม่คิดได้ไหม ... ไม่ได้ คิดทั้งวันหลังเห็น หลังได้ยิน ฯลฯ จริงๆ แล้วอยู่ในโลกของความมืด อุปมาเหมือนมีจุดอยู่ ๖ จุด มีจุดเดียวที่สว่าง คือ เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา นอกนั้นมืดทั้งหมด ถ้าจะรู้ความจริงโดยประจักษ์แจ้ง ต้องรู้จักโลกของความมืด

...แบกภาระทั้งวัน ทุกวัน เห็นเป็นภาระ ได้ยินเป็นภาระ ... ซึ่งเกิดเพราะกรรม ถ้ารู้ความจริง เห็นทำไม เมื่อเห็นเกิดแล้วดับ ไม่เหลืออะไรเลย ทำไมไม่รู้ลักษณะของเห็นว่า เป็นธรรมะ ไม่ใช่เราเห็น

... เมื่อเข้าใจความหมายที่ละเอียดลึกซึ้งของธรรมะ เมื่อนั้นคือสาวก ผู้ฟังพระธรรมไม่ใช่เพียงได้ยิน เมื่อเข้าใจธรรมะจริงๆ จะไม่เดือดร้อน เพราะธรรมะคอยอารักขาให้พ้นจากอกุศลซึ่งทำให้เดือดร้อน เมื่อรู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ คุณของพระรัตนตรัยจึงประมาณไม่ได้เลย

รวบรวมได้แค่นี้ค่ะ

วันสุดท้ายที่ ๒๗ มี.ค. ๕๗ เจ้าภาพพาไปทานบัดกุ๊ดแต๋และแต่เตี้ยมเจ้าดังของหาดใหญ่ อร่อยมาก ลิ้มรสดับไปหมดแล้ว เหลือแต่ความทรงจำถึงรสที่ก็ไม่เหมือนขณะที่ลิ้มรสนั้นจริงๆ และน้ำใจไมตรีของชาวหาดใหญ่ที่มอบให้ทำให้เกิดกุศลจิตอนุโมทนาในกุศลของท่าน ซึ่งต่างก็จะสะสมอยู่ในแต่ละจิตต่อไป เป็นเหตุที่ดีทำให้เกิดผลดี คงจะเป็นคนที่เดี๋ยวดีมากกว่าเดี๋ยวร้ายต่อไป

แม้คราวนี้จะหลับมากกว่าตื่น แต่ก็ได้ความเข้าใจธรรมะเพิ่มขึ้น ทุกครั้งที่มีโอกาสได้ร่วมสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์และคณะ ก็ได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง ได้เกิดกุศลจิต ปีติในกุศลของผู้ร่วมสนทนา เทียบไม่ได้กับการหนีไปพักผ่อนไกลและเสียเงินมาก แต่ก็ไม่เกิดกุศลจิตเช่นนี้ แต่ก็เกิดแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ ลืมอีกแล้วว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ เมื่อเหตุปัจจัย เป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น เลือกไม่ได้ ความเข้าใจธรรมะยังไม่มากพอที่จะตามอารักขาจิตไม่ให้เป็นอกุศลอีกแล้ว และจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไป จนกว่าจะเข้าใจเพิ่มขึ้น ความเข้าใจระดับนั้นจึงจะทำกิจตามอารักขาไม่ให้เกิดอกุศลได้

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่นำความรู้ความเข้าใจธรรมะ อย่างละเอียดลึกซึ้งของท่าน มาเผยแพร่ให้ผู้สนใจได้เข้าใจตามด้วย ถ้าไม่มีท่าน คงจะยากที่จะคลำทางได้เองในความมืด ๘ ด้านของอวิชชาเช่นนี้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Lamphun
วันที่ 29 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
panida
วันที่ 29 มี.ค. 2557

ขอบคุณและอนุโมทนาพี่กาญจนา ที่ได้ลงเรื่องบ้านธรรมหลังใหม่ที่หาดใหญ่ แต่ด้วยความเมตตาของท่านอาจารย์และคณะที่เดินทางไป ต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง และขออภัยเป็นอย่างมากหากมีข้อขาดตกบกพร่อง ยินดีน้อมรับแต่เพียงผู้เดียว

แต่งานนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าไม่ได้อาจารย์อรรณพ ให้กำลังใจ คุณพรชัย ที่ช่วยค้นหาเบอร์โทร คุณวันชัย ที่ส่งภาพท่านอาจารย์ ไปให้ทำป้ายโฆษณา และ คุณชลธี กับ คุณสุคันธรถเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินงาน ให้ลุล่วงไปด้วยดี (ประเมินเองนะ)

ขอขอบคุณทุกๆ ท่าน ด้วยความจริงใจ

โก๋ (พนิดา มิตรปวงชน)

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 30 มี.ค. 2557

กราบเท้าบูชาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านวิทยากร ท่านผู้จัดงานและท่านผู้เกี่ยวข้องทุกๆ ท่าน ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดงที่นำลงทั้งภาพที่สวยงามและที่สำคัญ หัวข้อธรรมะที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 30 มี.ค. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของพี่แดง (พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง) เป็นอย่างยิ่งครับ ผม (พี่แดงบอกว่าน้องวันชัย ทำไมใช้คำแทนตัวเองว่าข้าพเจ้า ดูห่างเหินไป ตอนนี้ขอใช้คำว่าผมแทนตัว แต่ในกระทู้ ขอใช้คำว่าข้าพเจ้าเหมือนเดิมนะครับ) ผมรู้สึกประทับใจกับการเดินทางไปสนทนาธรรมของท่านอาจารย์ในครั้งนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องของพี่พวง ที่พี่แดงเล่าให้ฟังสั้นๆ เมื่อพี่แดงได้พบหน้าพี่พวง ข้าพเจ้า เอ้อ...ผม เห็นความดีใจที่พี่แดงแสดงออกมาเมื่อได้พบหน้ากับพี่พวงแล้ว รู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของความสะสมของบุคคล ที่น่าปีติยินดีอย่างยิ่ง คำที่พี่แดงกล่าวสั้นๆ ที่ผมได้ยิน ในทำนองว่า เพื่อนบ้านของพี่พวงหาว่าพี่พวงผิดปรกติ พี่พวงเอาวิทยุห้อยคอฟังเสียงท่านอาจารย์ไปพร้อมๆ กับการกรีดยางทุกวัน ผมกล่าวกับพี่พวงว่า ถ้าพี่พวงเป็นคนผิดปรกติ พี่พวงก็มีเพื่อนเยอะแยะมากมายแล้วที่นี่

พี่พวงเป็นหนึ่งในความประทับใจหลายประการที่หาดใหญ่ครับ ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดงอีกครั้งที่เล่าเรื่องพี่พวงให้ได้อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
papon
วันที่ 30 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 30 มี.ค. 2557

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 30 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
one_someone
วันที่ 30 มี.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 30 มี.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 30 มี.ค. 2557

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wirat.k
วันที่ 30 มี.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
paderm
วันที่ 30 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
thassanee
วันที่ 31 มี.ค. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 31 มี.ค. 2557

ขออนุโมทนา.สำนวนอ่านสนุก.เพลิดเพลิน..แทรกสาระทางธรรม..โดยพี่แดงขอบคุณคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
Boonyavee
วันที่ 31 มี.ค. 2557

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณแม่แดง คุณพ่อสงบ ที่เพิ่งเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางกลับมาจากต่างประเทศไม่กี่วัน แต่ด้วยกุศลวิริยะของทั้งสองท่านได้ร่วมเดินทางไปสนทนาธรรมครั้งนี้ จึงมีเรื่องราวดีๆ ในกระทู้ให้อ่านและได้เกิดกุศลจิต อนุโมทนาในกุศลของทุกๆ ท่าน ที่เดินทางมาจากหลากหลายที่ด้วยเหตุปัจจัยต่างกัน แต่ทุกคนล้วนมีจุดประสงค์เดียวกันคือ เพื่อฟังพระธรรมจนกว่าจะมีเข้าใจในสภาพธรรมจริงๆ คำที่ท่านอาจารย์สุจินต์ มักย้ำอยู่เสมอว่า การฟังไม่ใช่เพื่อได้ แต่เพื่อละ เพราะถ้าปัญญาไม่มีแล้วจะเอาอะไรไปละคลายความไม่รู้ได้ ด้วยความเคารพท่านอาจารย์ที่กรุณาบรรยายธรรมให้ผู้ฟังมีความมั่นคงในพระธรรมและให้รู้ว่าไม่มีหนทางใดที่จะประเสริฐเท่ากับการฟังพระธรรมอีกแล้วคะ

ขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของผู้จัดงานทุกท่าน และคุณวันชัย ภู่งาม สำหรับภาพประกอบการสนทนาธรรมที่สวยงามคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
rrebs10576
วันที่ 31 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
j.jim
วันที่ 1 เม.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
nopwong
วันที่ 2 เม.ย. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
napachant
วันที่ 2 เม.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
peem
วันที่ 6 เม.ย. 2557

ขอขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ. พี่แดงบันทึกเหมือนนักเขียนเลย น่าอ่านน่าติดตามทุกตอนเลยค่ะ.

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
yupaporn
วันที่ 27 พ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

ทุกคนเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ตามกุศลและอกุศลที่ได้สะสมมายาวนาน ถ้าเหตุไม่ดี ผลจะ ดีได้ไหม เมื่อยังมีทั้งเหตุที่ดีและไม่ดี ผลจึงดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตามเหตุปัจจัย

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
wannee.s
วันที่ 30 พ.ค. 2557

ทุกอย่างเป็นธรรมะ เมื่อเหตุปัจจัย เป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

อนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ