เมตตาที่ถูกบังคับให้จำกัด
เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
กระผมได้ให้ความช่วยเหลือหญิงชราข้างบ้านที่ถูกลูกหลานทอดทิ้งไม่เอาใจใส่ มีแต่คนชัง มีแต่คนให้ร้าย (ถึงแม้ตอนรุ่งเรืองจะเป็นคนที่มีแต่อกุศลกรรมด้วยวจีทุจริตเป็นส่วนใหญ่) แต่กระผมกลับมีเมตตา เมื่อเอ่ยขอยืมเงินกระผมก็ให้ยืมไปก้อนหนึ่ง โดยพอจะทราบดีว่าคงได้คืนยาก แต่กลับถูกคนรอบข้างที่รู้ว่าให้มากเกินไปและทำให้บุพการีโกรธ และเมื่อเร็วๆ นี้ก็มาขอยืมอีก กระผมก็ให้อีกนิดหนึ่งและก็คิดไว้ในใจแล้วคงอาจจะไม่ให้อีกเพราะเริ่มคิดถึงตัวเองในอนาคต เมื่อไม่นานมานี้เคยได้ฟังท่านอาจารย์พูดว่า ช่วยจนถึงที่สุด ซึ่งถ้าเป็นท่านอาจารย์ท่านคงให้มากเท่าที่ผู้ขอจะพอใจ โดยไม่คำนึงถึงตัวเองอย่างแน่นอน กระผมมีความรู้สึกว่าเวลาตัวเองให้ความช่วยเหลือครั้งหลังๆ จะมีแต่อกุศลจิตแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี พอเวลามีคนมาขอความช่วยเหลือ ก็เริ่มเกิดความตระหนี่มากขึ้นๆ จนจะกลัวจะกลายเป็นอุปนิสสัย. ความเมตตาจึงจำเป็นต้องจำกัดไว้เพียงแค่นี้หรือว่าถ้าเหตุปัจจัยพร้อม กุศลธรรมก็อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต
(ขออนุโมทนาในทานกุศลและกุศลจิตของท่านอาจารย์ครับ)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในความเป็นจริงของปุถุชน เป็นธรรมดาที่จะไม่เมตตาตลอดเวลา และ การให้ก็ต้องรู้จักให้พอประมาณ ดั่งเช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ให้ญาติท่านที่ทำทรัพย์พินาศ ท่านก็ให้ลดจำนวนลง จนในที่สุดก็ไม่ให้เลย ดังนั้น ก็เข้าใจว่าเป็นธรรมดาที่จะรู้จักให้ และกุศลก็ไม่ใช่มีแต่การให้เท่านั้นครับ
อย่างไรก็ดี เชิญอ่านคำบรรยายท่านอ. สุจินต์ที่นี่ครับ
ท่านอาจารย์ เรื่องของสภาพธรรม ถ้าเราเข้าใจนะคะ โลภะคือความติด ความต้องการ โทสะคือความขุ่นเคือง แม้เพียงเล็กน้อย ส่วนอโลภะเนี่ยค่ะ คือความไม่ติด ไม่ข้อง ไม่ต้องการ นะคะ แล้วก็อโทสะก็คือความไม่โกรธ เพราะฉะนั้น จะเป็นสภาพจิตซึ่งไม่โกรธ ขณะนั้นคนอื่นจะบอกแทนเราไม่ได้เลย ว่าเรามีเมตตา คือ ความเป็นเพื่อน ความหวังดี เพื่อประโยชน์ของคนนั้นหรือเปล่า
ซึ่งถ้าเราเดินออกไปเดี๋ยวนี้ (ขณะที่บรรยายนั้นท่านอาจารย์และคณะอยู่ประเทศอินเดีย) ข้างนอกเนี่ยนะคะ แล้วเราเป็นมิตร คือ หมายความว่าทุกคนไม่ได้เป็นศัตรูเลยค่ะ ไม่ว่าจะมีหนวด หรือผิวต่างกับเรา หรือจะยังไงก็ตามแต่ ใช่ไหมคะ หรือเมื่อกี้ที่เรานั่งรถไปเนี่ยค่ะ ถ้าเกิดอกุศลจิต อย่างคนขายของ บางทีเขาอาจจะมากวนอย่างนั้น อย่างนี้ ใช่ไหมคะ แต่ถ้าเราสามารถที่จะรักษาจิตของเรา เป็นเพื่อนค่ะ เขาก็เป็นคนที่ขายของ เงินทองก็มีความหมายต่อเขา บางครั้งเนี่ยนะคะ เราทำบุญได้ตั้งเยอะแยะ แล้วเรามานั่งต่อสามล้อบ้าง แม่ค้าบ้าง อะไรอย่างนี้ ใช่ไหมคะ แล้วชีวิตของเขา ถ้าคิดว่า มีลูกกี่คน ลูกเขากำลังเรียนหนังสือ เขาไม่มาบรรยายสภาพความต้องการ ความขาดแคลนในครอบครัวของเขา แต่เขาอาจจะมีแม่ป่วยอยู่โรงพยาบาลหรืออะไรก็ได้ ทุกอย่าง โดยสภาพฐานะความเป็นอยู่ใช่ไหมคะ อย่างเขาก็ไม่มีรถรา ต้องไปเช่าสามล้อบ้าง แท็กซี่บ้าง จราจรเรียกบ้าง อะไรบ้างก็แล้วแต่ แล้วเราก็ต่อนิดต่อหน่อย แล้วเราก็ไปทำบุญเยอะแยะเนี่ย สู้เราเป็นมิตรกับทุกคน พร้อมที่จะให้ประโยชน์กับทุกคน แล้วแต่ว่าขณะนั้นเราพบใคร ใช่ไหมคะ ถ้าเรานั่งสามล้อ เราก็ให้เท่าไหร่ อาจจะไม่ต้องทอนก็ได้ เมื่อคิดถึงครอบครัวของเขาหรืออะไรอย่างนี้ค่ะ ขายผลไม้ เขาอาจจะรวยกว่าเรา เพราะว่าเขาขายของเนี่ยกำไรมาก ใช่ไหมคะ มันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับกาลเทศะ เกี่ยวกับสภาพจิตของเราว่า ขณะนั้นเรามีความเป็นมิตร หรือว่าเราเป็นเรา เขาเป็นเขา แล้วเราก็คิดไกลจนกระทั่งว่า ต้นทุนเท่านี้ กำไรเท่านั้น อะไรอย่างนี้ เป็นเรื่องคิดมากจังนะคะ แต่ว่า สภาพจิตของเราเป็นเพื่อนของเขาเนี่ยค่ะ ไม่ว่าเขาจะอาชีพใดก็ตาม ก็สบายใจดี การเจริญเมตตาเนี่ย คือความเป็นเพื่อนจริงๆ ไม่มีอะไรกั้น ถ้าใช้คำว่าเพื่อนเนี่ยนะคะ จะไม่มียศ ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีฐานะ ไม่มีความรู้ ไม่มีอะไรเลยที่จะมาขวางในความเป็นเพื่อน ไม่มีช่องว่าง บางครั้งเราไปคิดว่า คนนี้มาเอาเปรียบเรา แต่รู้ได้อย่างไร ถ้าเรารู้ว่าขายสินค้า ราคาแพงไป ก็แล้วแต่ แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเราไปคิดถึงครอบครัวเขา ในฐานะของเขาเนี่ย จะเป็นประโยชน์กว่านะคะ เพราะว่าเปรียบเหมือนการทำบุญกุศลน่ะค่ะ
ผู้ฟัง แต่บางครั้งเรารู้ว่ามันราคาสูงก็อดต่อไม่ได้
ท่านอาจารย์ แล้วเคยทำบุญอย่างอื่นไหมคะ
ผู้ฟัง เคยค่ะ
ท่านอาจารย์ ก็เหมือนกัน ทำบุญซิคะ
ผู้ฟัง แต่เขาเอาเปรียบคน
ท่านอาจารย์ แหม ไม่อยากจะเรียกว่า เอาเปรียบค่ะ ไม่อยากจะเรียกว่าเอาเปรียบเลย ถ้าเขาเอาเปรียบเรายิ่งน่าสงสาร เพราะเป็นอกุศล ขอยกตัวอย่างเรื่องที่ถนนเพชรบุรี (เหตุการณ์รถบรรทุกแก็ส พลิกคว่ำและระเบิดเมื่อหลายปีมาแล้ว) ใช่ไหมคะ ทุกคนเนี่ย สงสารเหลือเกิน คนที่ถูกไฟลวก เผา เนี่ยนะค่ะ แต่ทำไมสงสารเขาช้าจัง ทำไมไม่สงสารตอนที่เขาทำอกุศลกรรม ซึ่งเป็นเหตุให้เขาต้องถูกเผา เพราะว่า ถ้าเขาไม่เคยมีอกุศลกรรมมาก่อนนะคะ เขาจะไม่ได้รับวิบากกรรมอย่างนี้ ไม่มีทางเลยค่ะที่ใครจะไปติดไฟแดง แล้วก็ถูกไฟลวกเผาอย่างนั้น ใช่ไหมคะ ทุกคนเนี่ยค่ะใช้คำว่าขึ้นอยู่กับกรรม ถึงแก่กรรม เมื่อกรรมมาแล้วหนีไม่ได้ ไม่มีใครหนีกรรมพ้น เพราะฉะนั้นต้องเป็นอกุศลกรรมแน่ๆ ที่ทำให้เขาได้รับวิบากอย่างนั้น แล้วเรามาเที่ยวสงสารตอนที่เขาได้รับวิบาก แต่ตอนที่เขาทำอกุศลกรรมนั้นน่ะ เริ่มสงสารได้แล้ว เพราะฉะนั้นตอนที่แท็กซี่เขาจะมาโก่งราคาเรานั้น เราสงสารที่เขาโก่งราคา หรือว่าใครก็ตามที่ทำอกุศลกรรม สงสารทันทีเลย
.... ชีวิตเราดำรงอยู่เพียงขณะจิตเดียว ควรจะคิดว่า แล้วขณะจิตเดียวนี้เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล คะ มีขณะจิตเดียวให้เลือก จะเป็นกุศล หรือ จะเป็นอกุศลคะ ก็อย่าไปโกรธหรือไปคิดมาก
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตามความเป็นจริงแล้ว เมตตา ไม่จำกัด เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม มีความเป็นมิตรเป็นเพื่อน หวังดีต่อผู้อื่น ช่วยเหลือเท่าที่จะเป็นไปได้ ส่วนใหญ่แล้วเวลาช่วยเหลือคนอื่น จะมุ่งไปที่เรื่องเงิน แต่ความเป็นจริงแล้ว แม้ไม่ได้ช่วยเหลือในเรื่องเงิน แต่ก็สามารถช่วยเหลืออย่างอื่นได้ เช่น ให้คำแนะนำที่ดี ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เขา เท่าที่จะเป็นไปได้ และต้องไม่ลืมในความเป็นจริงของธรรมที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เราไม่สามารถช่วยคนทั้งโลกได้หมด แต่เมื่อพบใคร โอกาสแห่งการเกิดขึ้นของกุศลธรรมมีบ้างไหม แม้เพียงเล็กน้อย เมื่อช่วยแล้ว เขาไม่ได้เป็นไปตามในสิ่งที่ควรจะเป็น ก็มีความมั่นคงในความเป็นจริง แทนที่จะเป็นอกุศล ก็เป็นกุศล เข้าใจถูกเห็นถูกได้
แต่ละคนก็มีความประพฤติเป็นไปตามการสะสม แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะสะสมเหตุที่ดีมา ที่จะได้ฟังพระธรรม หรือไม่ เพราะถ้ายังเห็นประโยชน์ของพระธรรม แม้ว่าจะมีอกุศลเกิดขึ้นเป็นไปมากในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นความติดข้อง ความตระหนี่ ความโกรธ เป็นต้น แต่ก็สามารถที่ขัดเกลาละคลายได้ เมื่อมีปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น ที่สำคัญคือต้องไม่ละทิ้งการฟังพระธรรม สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไป ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ต้องรู้จักให้ การให้มีจำกัด ให้เท่าที่ให้ได้ แต่ว่าไม่ให้เขายืม ค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา อ.ผเดิม อ.คำปั่น และอ.วรรณี ครับ
เมตตาที่ถูกบังคับให้จำกัด นั้น คงไม่ใช่เมตตาที่เกิดจากความเข้าใจ ที่ไม่อาจจำกัดได้เลยว่าจะเป็นใคร จะดี จะร้าย อย่างไร
ส่วนการให้ทานด้วยความเข้าใจ ย่อมไม่ทำให้เกิดความเดือนร้อนแก่ผู้ใดเลย เพราะเห็นประโยชน์ของการสละสิ่งที่ควรสละ และเห็นประโยชน์ที่ผู้รับจะได้รับตามสมควร โดยไม่ได้คำนึงเพียงว่า เราจะพอใจ หรือผู้อื่นจะพอใจ หรือไม่ อย่างไร
ขออนุโมทนาคุณ papon ด้วยครับ