ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๒๕ - ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๗ [ตอนแรก]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันที่ ๒๕ - ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ คณะวิทยากรของมูลนิธิฯ ได้รับเชิญจากคุณพนิดา มิตรปวงชน สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ หาดใหญ่ พร้อมด้วยสมาชิกท่านอื่นๆ มีคุณชลธี และ คุณสุคันธรส ภู่ชลธี เป็นต้น เพื่อสนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
เมื่อข้าพเจ้าได้ทราบข่าว ก็ตกลงใจที่จะติดตามท่านอาจารย์ไปหาดใหญ่ในคราวนี้ด้วย ข้าพเจ้าไปเที่ยวใต้ครั้งสุดท้าย เมื่อราวสิบกว่าปีที่แล้ว หาดใหญ่ในความคิด ความจำ จึงเลือนราง จำได้ว่า สำหรับตนเอง การเดินทางไปเที่ยวภาคใต้ ดูไกลและเหนื่อยล้า ทั้งด้วยการนั่งรถทัวร์ หรือ การขับรถไปเอง แม้ว่าลึกๆ แล้ว เคยคิดว่าอยากขับรถไปเที่ยว ไล่เรียงไปตามจังหวัดต่างๆ อีกสักครั้ง ก่อนที่จะหมดแรงขับรถทางไกล ด้วยเหตุเพราะความหนุ่มเหลือน้อยเต็มที จึงต้องอาศัยกำลังใจอย่างเดียวที่จะเป็นได้ เมื่อทราบข่าวว่าคุณโก๋ (พนิดา มิตรปวงชน) ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ เพื่อไปสนทนาธรรมที่หาดใหญ่ จึงรู้สึกตื่นเต้น มีกำลังใจขึ้นมาทันที เมื่อคุณโก๋โทรมาขอรูปภาพท่านอาจารย์ เพื่อนำไปทำแผ่นป้ายโฆษณา ก็ได้คัดเลือกรูปภาพส่งไปเพื่อให้คุณโก๋เลือก และ ได้เรียนคุณโก๋ว่าจะขับรถไปเอง ล่วงหน้าราวสามวัน โดยแวะพักค้างคืนในระหว่างทาง ขอความกรุณาคุณโก๋จองที่พัก ที่หาดใหญ่ ที่จัดสนทนาธรรมไว้ให้ด้วย จำนวนสองห้อง เพราะข้าพเจ้าเดินทางไป ๕ คน พร้อมกับคุณภรรยา ลูกสาวคนเล็ก และ คุณพ่อตา กับ คุณแม่ยาย ซึ่งสำหรับคุณแม่ยายนี้ มีเรื่องเล่าให้ทุกท่านฟังเล็กน้อยว่า ได้เคยพาท่านทั้งสอง ไปฟังธรรมที่มูลนิธิฯ เมื่อหลายปีก่อน เมื่อกลับมา ท่านบอกว่า ฟังไม่รู้เรื่อง ข้าพเจ้าก็ไม่เคยรบเร้าท่านให้ฟังอีกเลย
ต่อมาท่านแจ้งว่าท่านเห็นท่านอาจารย์ ทางทีวีช่อง TNN ท่านจึงติดตามดู ยิ่งพบว่ามีข้าพเจ้าหรือภรรยาและลูกสาวด้วยยิ่งชอบ จึงมักติดตามดูบ่อยๆ จนข้าพเจ้าเคยมาเล่าติดตลกให้สหายธรรมที่มูลนิธิฯฟังว่า คุณแม่ยายของข้าพเจ้าชอบตามดูลูกเขย ลูกสาว ใน TNN (คงไม่ได้จะฟังท่านอาจารย์) เมื่อท่านทั้งสองทราบข่าวการเดินทางไปหาดใหญ่ ก็แจ้งว่าจะขอไปด้วย ข้าพเจ้าจึงบอกว่า เมื่ออยู่ที่หาดใหญ่ เวลาสนทนาธรรมข้าพเจ้าต้องทำงาน ไม่สามารถพาไปเที่ยวได้ ท่านต้องไปเที่ยวเอง คำตอบที่ท่านตอบ ทำให้ข้าพเจ้าดีใจ คือ ท่านบอกว่า อะไร ไปก็ต้องไปฟังท่านอาจารย์ด้วยสิ ไม่ใช่ไปเที่ยวอย่างเดียว เมื่อเล่าให้คุณภรรยาฟัง คุณภรรยาก็บอกว่า หลังๆ มานี้ อาม้าบอกว่าเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว วันก่อนโน้น ท่านอาจารย์พูดเรื่องบุญ เรื่องบาป ก็เริ่มเข้าใจ ความปรุงแต่งของธรรมะ เมื่อเหตุแลปัจจัยถึงพร้อม ก็เป็นไปเองอย่างวิจิตร สำหรับเราเองก็ทำความเกื้อกูลแก่บุคคลได้ ตามควรแก่กาล ไม่ใช่ด้วยความติดข้อง ด้วยความต้องการ แต่ ด้วยความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ความเข้าใจธรรมะแม้เพียงน้อยนิด ในขณะแรกที่เริ่มเข้าใจนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่งแก่บุคคล อย่างประมาณมิได้เลย สำหรับการได้เกิดมาครั้งหนึ่ง กับอัตภาพความเป็นมนุษย์ ที่แสนยาก ในสังสารวัฏฏ์
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 358
ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทายังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทายังมารดาบิดาผู้ทรามปัญญาให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทาดูก่อนภิกษุทั้งหลายด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้วและทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดา.
ทราบว่ามีการเดินทางไปของคณะในสองแบบ คือ คณะของท่านอาจารย์ เดินทางไปโดยเครื่องบิน ในวันที่ ๒๕ มีนาคม ถึงหาดใหญ่ราว ๑๒.๐๐ น และคณะฯของรถตู้ของมูลนิธิฯ ที่ไปพร้อมอุปกรณ์การบันทึกวีดีโอรายการบ้านธัมมะ ซึ่งจะเดินทางไป ถึงหาดใหญ่ในตอนเย็นของวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๗ ส่วนคณะของข้าพเจ้าได้เดินทางไปล่วงหน้าก่อนถึงสามวัน
โดยเดินทางไปในวันเสาร์ที่ ๒๒ มีนาคม ปลายทางแรก คือ ไปพักค้างคืนที่จังหวัดชุมพร โดยมีระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึง ชุมพร ราว ๔๖๓ กิโลเมตร กว่าจะหลุดออกไป จากถนนพระราม ๒ ได้ก็ใช้เวลาไปมาก ด้วยมีฝนตก และมีอุบัติเหตุตลอดทาง รถติดมาก ที่คิดว่า จะไปถึงชุมพรได้ ในเวลาบ่ายอ่อนๆ ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดไว้เลย ที่เคยคิดหวังไว้สวยงาม เมื่อไม่เป็นอย่างที่คิด ที่หวัง จะเดือดร้อนไหม? หรือว่า อะไรจะเกิดก็เกิด ก็เป็นไป ไม่ใช่ด้วยคำพูด ที่พูดตามๆ กันมา แต่ เข้าใจ เข้าใจถึงความเป็นอนัตตา ความไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของธรรม มั่นคงขึ้น ในความจริงของธรรม ที่เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย มั่นคงขึ้น มั่นคงขึ้นๆ ๆ
ไหนๆ ก็เสียเวลาไป กลับ ถึง ๗ วัน ก็ขออนุญาต นำภาพมาเป็นของฝากทุกๆ ท่านด้วย แม้ว่าท่านไม่ได้ไป ก็ได้เที่ยว ได้เห็น ทางภาพ และ คำบรรยายเล็กๆ น้อย นะครับ อย่างที่ได้เรียนแล้ว เมื่อเริ่มเข้าใจ ย่อมเป็นผู้ที่มั่นคงขึ้น ในความลึกซึ้งของแม้คำว่า อบรมเจริญปัญญา เป็นปรกติ ในชีวิตประจำวัน ที่ท่านอาจารย์กล่าวโดยเสมอๆ ตลอดมา ชีวิตของผู้ศึกษาธรรม เป็นชีวิตที่เป็นปรกติ ไม่ใช่ชีวิตที่ผิดไปจากปรกติเลย แต่เมื่อเข้าใจขึ้น ธรรมะนั้นเอง ย่อมขัดเกลา ให้ชีวิตดีขึ้น งามขึ้น ด้วยความเข้าใจนั้น หามีผู้ใดไปปฏิบัติสิ่งใด ด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความติดข้องต้องการ ไม่ ความมั่นคงขึ้นในธรรม และ "คำ" ที่เก็บไว้ แนบแน่นมั่นคง ในหทัยนั้น จะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้บุคคล มีการคิด พิจารณา ไตร่ตรอง ในธรรมทั้งหลาย ด้วยความเป็นปรกติ ในขณะที่เห็น ขณะที่ได้ยิน ในขณะที่เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นเป็นไป ในขณะนี้เอง!!!
ไม่มีใคร ผู้ใด ไปปฏิบัติสิ่งใด ต่างหากอีก จากความเป็นปรกติ ในปัจจุบันขณะนี้ เข้าใจธรรม คือ เข้าใจขณะนี้!!! เดี๋ยวนี้!!! เข้าใจว่าอะไร? ก็เข้าใจว่า ทั้งหมด เป็นแต่ธรรม ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย และ ดับไป ทุกๆ ขณะ ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เลย
จากชุมพร เราเดินทางต่อไปยังจังหวัดสุรษฎร์ธานี เป็นอันดับถัดไป ด้วยระยะทางสั้นๆ เพียง ๑๙๓ กิโลเมตร เป็นการเดินทางที่สบายๆ สดชื่นด้วยดอกไม้ข้างทางที่สวยงามมาก ระหว่างทาง เราแวะนมัสการพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร อันเป็นสถานที่เก่าแก่ พระบรมธาตุไชยา เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรศรีวิชัย ราว ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว องค์พระเจดีย์แต่เดิมชำรุด และหักโค่นลงมาถึงคอระฆัง แต่ได้รับการบูรณะใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๕
เรามีนัดกับเพื่อนที่สุราษฎร์ธานี บ้านเธอทำสวนยางและกิจการส่งอาหารทะเลไปกรุงเทพฯ อยู่ที่อำเภอกาญจนดิษฐ์ แต่ไปแต่งงานและมีบ้านอยู่ใกล้ๆ บ้านของข้าพเจ้าที่กรุงเทพฯ ตอนนี้ปิดเทอมจึงพาลูกชายสองคนลูกสาวคนเล็กแบเบาะอีกคนหนึ่งมาเที่ยวบ้านคุณยาย เธอบอกจะพาลงเรือออกไปทานอาหารกลางวัน ที่ฟาร์มหอยนางรมของญาติกัน ที่กลางทะเล อ่าวไทย เราไปดูด้วยกันนะครับ เพราะมื้อเที่ยงนี้ กว่าจะได้รับประทาน เวลาก็ล่วงเลยเข้าไปเกือบบ่ายสามโมงแล้ว
เพราะเหตุว่า หลงทางกัน ด้วยความเข้าใจผิดทางการสื่อสาร และคำอธิบายหนทาง ทำให้คิดว่า นี่ขนาดเพียงถนนหนทาง ที่ดูแล้วไม่น่าจะยากในการเข้าใจตรงกัน ด้วยต่างคนต่างก็คิดเอาเอง เข้าใจเอาเองว่าอีกคนจะเข้าใจเหมือนที่ตนคิด นี่เป็นตัวอย่างของความคิดเอาเอง เหมือนที่ท่านอาจารย์มักกล่าวเตือนเรื่องธรรมะคิดเอง จึงเดือดร้อน เสียเวลาขนาดนี้ หากความเข้าใจพระธรรม ความจริงที่ทรงตรัสรู้ และ ได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้โดยละเอียด จะยากยิ่งขนาดไหน เทียบกันไม่ได้เลย และ คิดเองไม่ได้ ต้องฟังจากผู้รู้เท่านั้น
ความไม่รู้หนทาง ความหลงทาง จึงยังผลให้บุคคล หลงวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์นี้ วนเวียนอยู่กับความสุข และ ความทุกข์ อย่างไม่มีวันจบสิ้น เดือดร้อน ดินรนสิ้นกาลนาน
ที่นี่เป็นฟาร์มหอยนางรม และ หอยแครง ที่ทำเป็นฟาร์มสเตย์ ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งสามารถมาพักค้างคืนได้กลางทะเล หรือเพียงมาเพื่อรับประทานอาหารแล้วกลับก็ได้ โดยมีอาหารทะเลสดๆ โดยเฉพาะหอยนางรมสดและตัวใหญ่มากไว้บริการครับ
หลังจากรับประทานเสร็จ คุณพ่อตาก็พูดถึงเขื่อนเชี่ยวหลาน หรือ เขื่อนรัชชประภา ที่หลายคนเรียกว่า กุ้ยหลินเมืองไทย ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติเขาสก สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นทะเลสาบเหนือเขื่อน ที่มีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก และ มีแพพักเหนือเขื่อน ไว้บริการด้วย เป็นสถานที่หนึ่งในใจของข้าพเจ้าเลยทีเดียว ที่อยากจะได้ชม แต่ไม่ได้อยู่ในรายการที่คิดไว้ เพราะเข้าไปดูราคาแพคเกจต่อหัวแล้ว รู้สึกว่าแพงไป และไม่คุ้มที่ต้องพักแล้วเดินทางต่อทันที ในเช้าวันรุ่งขึ้น
จึงจองที่พักในตัวเมืองสุราษฎร์ฯไว้ก่อนมา แต่ในที่สุด ความฝันของข้าพเจ้าก็เป็นจริง เราเดินทางลงเรือเพื่อเข้าสู่แพพักในตอนใกล้ค่ำ ท่ามกลางทิวทัศน์ที่สวยงามมากครับ
ความเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปนั้น แสดงให้เห็นอยู่ โดยตลอดเวลา แม้การจะได้เห็นสิ่งใด พบสิ่งใด ในทุกๆ ขณะนี้ หาได้เป็นไปอย่างที่ต้องการไม่ แต่หากเมื่อมีเหตุปัจจัยที่ถึงพร้อม การได้เห็นในสิ่งที่อยากเห็น ก็มีปัจจัยเกิดขึ้น ไม่เป็นไปเพราะความอยาก ความติดข้อง บุคคลจึงมั่นคงขึ้นในกรรมและผลของกรรม ในขณะนี้เอง
สิ่งที่ปรากฏเฉพาะหน้า ในขณะนี้ เมื่อจะได้เห็น ถึงเวลาก็จะได้เห็นเอง เมื่อจะไม่ได้เห็น แม้มีความอยากเห็นมากมาย ก็อาจจะไม่ได้เห็น เมื่อเข้าใจขึ้น มั่นคงขึ้น ความเดือดร้อนใจ จากความติดข้อง ต้องการ ก็มีน้อยลง ไม่เป็นผู้ที่เดือดร้อน ดิ้นรน และทุกข์ใจ ตามกำลังของความเข้าใจที่ได้สะสมมา ทุกคนปรารถนาความสุข แต่ความสุขที่แท้จริง คือ ความเข้าใจพระธรรม เข้าใจธรรมะ คือ ขณะนี้ เพราะทุกสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ในขณะนี้ เป็นธรรมะ เป็นอนัตตา บังคับบัญชามิได้ ไม่อยู่ในอำนาจของใคร และ หาใช่ความเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ใดไม่ เป็นแต่ธรรม ที่ปรากฏ เกิดขึ้น ตามเหตุ ตามปัจจัย แล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ หน้า ๒๖๐
นาวาสูตร
(ว่าด้วยอุปมาเหมือนเรือข้ามฝั่ง)
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ผู้ใดขึ้นสู่เรือที่มั่นคง มีพายและถ่อพร้อมมูล ผู้นั้นรู้อุบายในเรือนั้น เป็นผู้มีความฉลาด พึงช่วยผู้อื่น แม้จำนวนมากในเรือนั้น ให้ข้ามได้ แม้ฉันใด ผู้ใดไปด้วยมรรคญาณทั้ง ๔ อบรมตนแล้ว เป็นพหูสูต ไม่มีความหวั่นไหว เป็นธรรมดา ผู้นั้นแลรู้ชัดอยู่ พึงยังผู้อื่น ผู้ตั้งใจสดับ และสมบูรณ์ด้วยธรรม อันเป็นอุปนิสัย ให้เพ่งพินิจได้ ฉันนั้น เพราะเหตุนั้นแล บุคคล ควรคบสัปบุรุษผู้มีปัญญา ผู้เป็นพหูสูต บุคคลผู้คบบุคคลเช่นนั้น รู้ชัดเนื้อความแล้ว ปฏิบัติอยู่ รู้แจ้งธรรมแล้ว พึงได้ความสุข.
จบนาวาสูตรที่ ๘
เช้าของวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๗ หลังอาหารเช้า เราเดินทางสู่ อำเภอหาดใหญ่ ผ่านจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยไม่ได้แวะเยี่ยมเยือนสถานที่ใดๆ เลย ถึง จังหวัดสงขลา เราแวะเยี่ยมชมสะพานติณสูลานนท์ และ ข้ามไปเกาะยอ ที่มีการทอผ้า ที่ขึ้นชื่อว่ามีฝีมือการทอ มีความละเอียด งดงามมาก
แวะถ่ายรูปกับนางเงือก ที่หาดสมิหลา เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงสงขลา และเพื่อกันลืม ทั้งๆ ที่เห็นแล้วก็ลืม แต่ก็ยังอยากเห็นโน่น เห็นนี่ ท่านอาจารย์กล่าวเตือนบ่อยๆ ว่า ขณะนี้หวังอะไร? หวังเห็น ก็เห็นแล้ว หวังได้ยิน ก็ได้ยินแล้ว หวังลิ้มรส ก็ได้ลิ้มแล้ว แต่ก็ยังหวังอีก ไม่เคยขาดความหวังเลย เห็นแล้วก็อยากเห็นอีก ต่อไปไม่รู้จบ
จากสงขลา ไปหาดใหญ่ ระยะทางเพียงราว ๒๗ กิโลเมตร เท่านั้น แต่ก็เช่นเคย กว่าข้าพเจ้าจะหาทางไปยังโรงแรมที่พักได้ ก็ใช้เวลาหลงอยู่พักใหญ่ เป็นธรรมดาของคนที่ไม่เคยมา (ด้วยตัวเอง) ย่อมหลงได้เป็นธรรมดา ถึงจะมีแผนที่ แต่แผนที่กับของจริง ก็ต้องเห็นด้วยตา เทียบเคียงกันบ่อยๆ กว่าจะจำได้มั่นคงขึ้น ก็ได้เวลากลับเสียแล้ว หากอยู่ต่ออีกสองสามวัน มีความจำมั่นคงขึ้น คงไม่หลงมากเท่าเดิม เราเดินทางถึงโรงแรมที่พักในเวลาใกล้ค่ำ พบคุณโก๋พอดี พร้อมๆ กับอาจารย์ธีรพันธ์ คุณคำปั่น และ ทีมงานถ่ายวีดีโอที่มาดูสถานที่ ที่จะทำการสนทนาธรรม ในบ่ายวันรุ่งขึ้น
โรงแรมที่พักสะอาด สะดวกสบายมากครับ อยู่ใกล้ตลาดกิมหยง แหล่งช้อปปิ้งชื่อดัง เพียงเดินไม่กี่ก้าวก็ถึง ที่จอดรถมีน้อย แต่คุณโก๋ก็กรุณาแจ้งทางโรงแรมให้จัดที่จอดไว้ให้ กราบขอบพระคุณมากครับ และ ขอกราบอนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณโก๋ เป็นอย่างยิ่ง ใครเลยจะรู้ว่า ในชีวิตหนึ่ง ท่านจะได้มีโอกาสจัดการสนทนาธรรมขึ้นที่หาดใหญ่นี้ ซึ่งเป็นการจัดเป็นครั้งแรกด้วย เปรียบเสมือนการสร้างบ้านหลังใหม่ของบ้านธัมมะที่นี่ ที่ภาคใต้ของประเทศ ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อว่า จะมีผู้ที่ติดตามรับฟังท่านอาจารย์มานานแล้ว มีจำนวนมากมายหลายท่าน รวมถึงมีท่านผู้ที่สนใจที่ได้เห็นป้ายโฆษณา มาร่วมฟังด้วย
ในตอนเช้า เราออกไปรับประทานอาหารเช้าตามร้านที่มีการแนะนำ หาดใหญ่ มีร้านอาหารอร่อยๆ ที่มีชื่อเสียงมากมาย ในตอนเช้า จะมีรถทัวร์นำนักท่องเที่ยว ซึ่งโดยมากเข้าใจว่ามาจากมาเลเซียและจีน ทั้งที่มากับทัวร์และขับรถมาจากมาเลเซีย มารับประทานอาหารเช้า เป็นจำนวนมาก แน่นร้านอาหารชื่อดังต่างๆ เลยครับ หลังรับประทานอาหาร เรามีเวลาครึ่งวันเช้าเพื่อเที่ยวเมืองหาดใหญ่ เราจึงเดินทางไปขึ้นกระเช้าลอยฟ้าที่เชื่อมระหว่างยอดเขา ที่สวนสาธารณะเมืองหาดใหญ่ ชมตัวเมืองหาดใหญ่ จากบนยอดเขา และ ถ่ายภาพสวยๆ มาฝากทุกๆ ท่าน จากนั้น กลับมาที่โรงแรมแล้วเดินไปช้อปปิ้งที่ตลาดกิมหยง ก่อนที่จะไปรอรับ คณะของท่านอาจารย์ ที่สนามบิน ในเวลาประมาณ ๑๒.๐๐ น.
เนื่องจากการสนทนาธรรมที่หาดใหญ่นี้ เป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมครั้งหนึ่ง ที่เกิดขึ้นแล้ว ด้วยกุศลศรัทธาของคุณโก๋ พนิดา มิตรปวงชน และด้วยความช่วยเหลือ ร่วมมืออย่างดียิ่งของคู่สามีภรรยาที่น่ารักมาก คือ คุณชลธี และ คุณ สุคันธรส ภู่ชลธี ข้าพเจ้าเคยพบท่านติดตามท่านอาจารย์ไปในที่ต่างๆ ทั้งที่อินเดีย และที่สวนผึ้ง ราชบุรี คุณชลธี มีเพื่อนเป็นนักจัดรายการวิทยุที่หาดใหญ่ จึงวานให้ช่วยประชาสัมพันธ์ การจัดการสนทนาธรรมในครั้งนี้ อีกทางหนึ่ง ขอกราบอนุโมทนาด้วยนะครับ
อย่างที่ได้เรียนให้ทราบแล้ว ถึงเวลาที่แสนประเสริฐของการเกิดขึ้นของการสนทนาธรรม ที่ภาคใต้ ที่หาดใหญ่เป็นครั้งแรก การสนทนาธรรมในวันแรกจึงเป็นวาระที่ท่านอาจารย์ ให้ความเมตตา เกื้อกูล แก่ผู้ร่วมฟังเป็นอย่างมาก เป็นความที่ไพเราะจับใจข้าพเจ้า ทั้งสองวัน ที่ได้มีโอกาสอยู่ร่วมฟังการสนทนา กล่าวคือ ข้าพเจ้าอยู่ร่วมฟังการสนทนา ในบ่ายวันแรก และ ครึ่งวันเช้า ของวันที่ ๒๖ มีนาคม ก่อนขับรถเดินทางกลับ เพื่อแวะพักระหว่างทาง ไม่ให้ระยะทางในการขับรถ ยาวนานไป จนทำความลำบากแก่ตน และ ท่านผู้น้อย ผู้ใหญ่ ที่ร่วมเดินทางรอนแรมกันมา มากจนเกินไป
ข้าพเจ้าแบ่งกระทู้ออกเป็นสองตอน คือ จากการสนทนาธรรมในวันแรก ตอนหนึ่ง ในเช้าของวันที่ ๒ อีกตอนหนึ่ง ด้วยมีความไพเราะ และ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา สมควรที่จะบันทึกไว้ เป็นประวัติอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ เท่าที่จะกระทำได้นะครับ
ท่านผู้จัด ได้เตรียมการ เตรียมสถานที่ไว้อย่างเรียบร้อย สวยงามมากครับ มีการเชิญให้ผู้เข้าร่วมฟังการสนทนาธรรม ลงชื่อ และ เบอร์โทรศัพท์ ไว้เพื่อการติดต่อกัน หนังสือที่คุณคำปั่นนำไปแจก ก็ได้รับความสนใจมาก แผ่นเอ็มพีสามที่นำไปบริการก็เช่นกัน ข้าพเจ้านับดูแล้ว มีผู้ลงชื่อ ไม่รวมกลุ่มของท่านผู้จัด ในวันแรกนี้ ถึงราว ๓๐ ท่านทีเดียว นี่นับเฉพาะท่านที่อยู่ทางภาคใต้นี้เท่านั้นนะครับ ไม่นับท่านที่มาจากกรุงเทพฯ
อันดับต่อไป ขอนำความการสนทนาในช่วงแรก ของการสนทนาในวันนั้น เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ครั้งแรก ของเสียงพระธรรม ณ ดินแดนภาคใต้ของไทย ที่แม้จะมีเสียงของพระธรรมที่ท่านอาจารย์บรรยาย ส่งมาทางวิทยุกระจายเสียง นานหลายสิบปีแล้ว แต่ครั้งนี้ เป็นครั้งแรก ที่ท่านอาจารย์เดินทางมาด้วยตัวของท่านเอง จึงขอนำความที่ไพเราะอย่างยิ่งนั้น มาฝากทุกท่าน ในตอนแรกนี้ ดังนี้ครับ
ท่านผู้ฟัง กราบอาจารย์ที่เคารพครับ ผมฟังธรรมะจากอาจารย์มายาวนาน ตั้งแต่ปี ๒๕๓๒ ตอนนั้น ไปบวชเรียนเข้าพรรษา เป็นข้าราชการลาบวชได้ ฟังมหาสติปัฏฐานสูตรที่เป็นประมาณ ๒๐ ม้วน ฟังสลับกัน มีพระอยู่ ๑๓ รูป ตอนนั้น และ ในจังหวะนั้น ก็ได้เล่าเรียนอภิธรรมแบบพื้นฐาน เล็กๆ น้อยๆ ไปด้วย ท่านพระอาจารย์ก็แนะนำว่า เริ่มจากตรงนี้ เริ่มจากมหาสติปัฏฐานสูตร ของท่านอาจารย์สุจินต์ ในขณะเดียวกัน ก็มีญาติโยมมาสอนอภิธรรมด้วย ก็ถือว่าเป็นโอกาสเหมาะ จนถึงปัจจุบัน ทำให้เข้าใจ ถึงแม้ว่าจะไม่มากมายนัก วันนี้ ขอโอกาสกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ ยังไม่มีอะไรจะถามก่อนครับ
ท่านอาจารย์ ก็ขออนุโมทนา นะคะ แล้วก็ดีใจจริงๆ ที่มีโอกาสได้มาที่หาดใหญ่ แล้วก็ ได้พบหลายท่าน ซึ่งตอนที่อยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่ทราบว่าจะมีผู้ที่สนใจที่นี่หลายท่าน จนกระทั่งคุณโก๋ ได้จัดการสนทนาธรรม ก็ได้พบว่า หลายท่าน ได้ฟังมาแล้ว หลายปีค่ะ ถึงเท่าไหร่คะ เมื่อกี้นี้?
ท่านผู้ฟัง ๒๕๓๒ ครับ
ท่านอาจารย์ ๒๕ ปี
ท่านผู้ฟัง ๒๕ ปี แล้ว ความก้าวหน้ายังไม่มากมายเท่าไหร่นัก ยังคลานเตาะแตะไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ อันนี้ถูกต้องนะคะ
เพราะเหตุว่า ยิ่งฟัง ยิ่งเข้าใจ ยิ่งรู้ว่า ลึกซึ้ง
ถ้าคนที่ฟังแล้ว คิดว่า ใกล้จะถึงพระนิพพานนั้นน่ะ ผิด แน่นอน เพราะเหตุว่า พระธรรม เป็นสิ่งที่ แม้กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าพระผู้มีพระภาคฯ ไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ไม่ทรงตรัสรู้ ใครจะรู้ความจริง ของสิ่งซึ่งขณะนี้ กำลังปรากฏ แล้วก็หมดไป เร็วมาก สุดที่จะประมาณได้
ไม่ทันที่ใครจะคิด ใครจะไตร่ตรอง ธรรมะนั้นก็หมดไปแล้ว
เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีการได้ยิน ได้ฟังมาเลย จะไม่สนใจเลย เพราะว่าเป็นสิ่งที่ยาก และ ดูเป็นธรรมดา แต่ความลึกซึ้ง น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ว่า เวลาที่ได้เข้าใจพระธรรมแล้ว จะเห็นพระปัญญาคุณว่า ละเอียด แล้วก็ ไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวหรือแสดงความจริง ของสิ่งที่กำลังเป็นอย่างนี้ ในขณะนี้ ได้
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ สะสม การได้ยิน ได้ฟัง จากการที่เคยมีศรัทธา เคยได้ยิน ได้ฟังมาแล้ว ในชาติก่อนๆ ซึ่งจะเป็นใคร เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน แม้แต่ชาดกต่างๆ บุคคลในครั้งนั้น ก็ได้มาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นท่านพระอานนท์ เป็นท่านพระสารีบุตร ซึ่งก่อนนั้น ก็เหมือนคนที่ได้เริ่มฟังพระธรรม แล้วก็ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
เพราะฉะนั้น แต่ละคน ในชาติก่อน จะเป็นใครมาก่อน ก็ต้องเคยได้ยิน ได้ฟัง นะคะ แล้วก็เป็นผู้ที่มีอัธยาศัย ที่จะได้ศึกษา และ ฟังพระธรรม ต่อไป จึงอยู่ที่นี่ ในวันนี้ แล้วเห็นประโยชน์ ของการที่ มีชีวิตอยู่ ที่จะได้เข้าใจพระธรรม เป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่าทุกอย่าง
เพราะเหตุว่า ตามความเป็นจริง ทรงแสดงไว้ว่า สิ่งที่ควรคิดถึงบ่อยๆ คือ ความตาย พูดแล้วไม่ต้องกลัว เพราะตายกันทุกคน แต่ว่า จะตายเมื่อไหร่? ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ แล้วก็ ก่อนตาย จะเป็นอย่างไร? ส่วนใหญ่ คนไม่คิดเลย สนุกสนานไป วันหนึ่งๆ
แต่ว่า ได้อะไรบ้าง? จากการการที่ เกิดมาแล้ว ก็ต้องตาย ทุกชาติด้วย
คือ ต้องเกิด ไม่เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วก็ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องคิดเรื่องราวต่างๆ สุข ทุกข์ มากมาย แล้วหายไปไหนหมด? ไม่เหลือเลย จากบุคคลนี้ ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่า จะอยู่อีกนานเท่าไหร่? จะเป็นบุคคลนี้ อีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี อาจจะหลายสิบปี แต่ก็ต้องจากไป
จากไป แล้วไปไหน?
อันนี้ ประมาทไม่ได้เลย ว่าต้องจากแน่ แล้วเตรียมตัวที่จะเป็นคนใหม่ เหมือนชาติก่อน เป็นใครก็ไม่รู้เลย แต่ทั้งหมด ที่ได้มีมาแล้วจากชาติก่อน หรือชาติหลังๆ ที่ผ่านมาแล้ว ก็ทำให้เป็นบุคคลนี้ ในชาตินี้ เพราะฉะนั้น ต่อไป ก็จะมีคนใหม่เกิดขึ้น ก็มาจากคนนี้แหละ ที่ได้สะสมกุศล และ อกุศล
เพราะฉะนั้น ก็ทำให้อัธยาศัยต่างๆ กัน แต่ก็เป็นผู้มีศรัทธา ที่จะได้เข้าใจธรรมะ เพราะเหตุว่า ตั้งแต่เกิด จนตาย บางคน ไม่เข้าใจเลย เกิดมา มีความสุข มีความทุกข์ ก็ไม่รู้อะไรเลย ทั้งสิ้น
เดี๋ยวบุญ เดี๋ยวบาป แล้วก็จากโลกนี้ไป โดยไม่รู้ว่าอะไร
แต่ว่า ตามความเป็นจริง ประโยชน์ที่สุด ก็คือว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของเรา? เที่ยง? อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาหรือเปล่า? สักอย่างเดียว?
ก็หลง ไม่รู้ตามความเป็นจริง คิดว่า "มีเรา" จริงๆ
แต่ว่า พระธรรม ที่ทรงแสดงไว้ "ทุกคำ" เป็น "วาจาสัจจะ" เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ที่จะตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังมี เดี๋ยวนี้ แต่ละหนึ่งอย่าง จนถึงที่สุด จึงจะกล่าวได้ว่า สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ก็ตาม มีการเกิดขึ้น เป็นธรรมดา "สิ่งนั้น" มีความดับไป เป็นธรรมดา
ฟังแค่นี้ เรารู้แค่ไหน?
สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ที่มีการเกิดขึ้น ถ้าเดี๋ยวนี้ ไม่มีอะไรปรากฏ ก็แสดงว่าไม่เกิด ใช่ไหม? แต่ที่ปรากฏนี้ เกิด จึงได้ ปรากฏ
ถ้าไม่เกิดเลย จะมีได้อย่างไร?
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มี เดี๋ยวนี้ เกิด แล้ว ดับ ใครจะรู้?
เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ความจริง ก็จะเห็นว่า คำที่ว่า พระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสรู้ความจริง ยาก ละเอียด ลึกซึ้ง แต่...มีค่าที่สุด...
เพราะเหตุว่า ทำให้แต่ละชาติ สามารถมีความเข้าใจถูก ในความไม่แน่นอน ในความเปลี่ยนแปลง ในการเกิดขึ้น แล้วก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่ละชาติ ก็มีทั้งสุข ทั้งทุกข์ มีทั้งเป็นเศรษฐี เป็นยาจก เป็นโรค เป็นภัย เป็นทุกข์สาหัส ก็แล้วแต่ แต่ก็หมดไป ไม่มีอะไรที่ยั่งยืน เลย
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ก็คือ สามารถที่จะรู้ความจริง เพราะเหตุว่า ที่ทุกคนเดือร้อน รับรองได้เลย คำตอบเดียว เพราะไม่รู้
ถ้ารู้แล้ว ก็จะทำให้ไม่เดือดร้อนนาน เพราะเหตุว่า ความเข้าใจถูก จะทำให้รู้ความจริงว่า แม้ขณะที่กำลังเดือดร้อน ก็ไม่ใช่เรา ที่สำคัญที่สุด ต้องไตร่ตรอง จนกระทั่งว่า เป็นคำจริงหรือเปล่า? ที่ว่า ขณะนี้ สิ่งใดๆ ก็ตาม ที่มี เป็นสิ่งที่มี แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป พอมารวมกัน ก็เหมือนเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ที่เที่ยง แต่พอแยกออกไปแล้ว เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง นั้น เกิด ดับ อย่างเร็วมาก
นี่คือคำที่ กว่าจะรู้ความจริง ก็ต้องอาศัย ฟังแล้ว ฟังอีก จนกระทั่ง มีความเข้าใจที่มั่นคงว่า จริงไหม? เมื่อจริง แล้วยังไม่รู้ความจริง จนถ่องแท้ ถึงที่สุด แต่มีหนทางที่จะรู้ได้อย่างนี้ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ก็สะสมความรู้ต่อไป แต่ไม่ใช่หมายความว่า ให้เราไปเปลี่ยนแปลง ไปทำอะไรขึ้น สิ่งนั้น เกิดแล้วทั้งนั้นเลย มีอะไรบ้าง ที่เดี๋ยวนี้ปรากฏแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้น เกิดแล้วทั้งนั้น แต่ที่ไม่รู้คือ ดับไปแล้ว ทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟังค่ะ เพื่อที่จะ "เข้าใจ" เท่านั้นเอง
ทำอะไรไม่ได้เลย ใครคิดจะทำอะไรบ้าง? เพราะไม่รู้ความจริงว่า แม้แต่ความคิดของแต่ละคนเดี๋ยวนี้ ต่างกัน เพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่สะสมความคิดอย่างนี้ ก็จะคิดอย่างนี้ ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น เวลานี้ มีจิตไหม? คำถามธรรมดาอย่างนี้ มีไหม?
รู้จัก "จิต" หรือยัง?
เห็นไหม? แสนที่จะธรรมดา บางคนอาจจะบอกว่า แสนจะตื้น ตื้น ที่เป็นคำที่ทุกคนเข้าใจว่า มี มีทุกข์ไหม? มี , มีจิตไหม? มี แต่ ทั้งหมดนี้ ความจริง คือ อะไร? เที่ยงหรือเปล่า? ถาวร ยั่งยืน หรือเปล่า? หรือว่า เกิด ดับ เร็ว จนกระทั่งคิดว่า เป็นเราที่สุข คิดว่า เป็นเราที่ทุกข์
แต่ถ้าสุขไม่เกิด ไม่มีเราสุข ทุกข์ไม่เกิด ไม่มีเราทุกข์ เพราะฉะนั้น ทุกข์นั่นแหละ ไม่ใช่เรา
แต่ว่า มีปัจจัยเกิดขึ้น แม้แต่ขณะแรกของชาตินี้นะคะ เลือกเกิดไม่ได้ เกิดแล้ว เลือกให้เป็นอย่างหนึ่ง อย่างใด แต่ละวัน ก็ไม่ได้ เลือกไม่ให้เจ็บไข้ ได้ป่วย ได้ไหม? ไม่ได้ เลือกไม่ให้ได้ยิน เสียงนั้น เสียงนี้ ได้ไหม? เกิดแล้ว ทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นคือ เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งใช้คำว่า อนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ "สิ่งนั้น" มีลักษณะเฉพาะตน ซึ่งไม่ปะปนกันเลย แยกขาดจากกัน เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้น ตามปัจจัย แล้วดับไป ก็ตรงกับคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ที่เราได้ยินแล้ว เราสามารถที่จะ เข้าใจเพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น จนกระทั่ง เป็นผู้ที่ตรง ต่อความจริงว่า ฟังแล้วเข้าใจ ต้องเข้าใจจริงๆ
อนิจจัง คือ ไม่เที่ยง เดี๋ยวนี้ค่ะ เห็น ดับ , ได้ยิน ดับ , คิด ดับ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไม่เคยพิจารณาเลย แม้แต่จะฟัง ก็ฟังเผิน
บางคนก็ฟังเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ ลืมไตร่ตรอง สิ่งที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง ต้องแต่ละหนึ่ง จริงๆ สุข ไม่ใช่ ทุกข์ , เห็น ไม่ใช่ ได้ยิน , ความติดข้อง ไม่ใช่ความโกรธ ความสำคัญตน ก็ไม่ใช่ ความเห็นผิด แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เกิด ดับ สืบต่อ เร็วมาก รวมกัน จนเข้าใจว่า "เป็นเรา" ซึ่งตั้งแต่เกิดมา ไม่เห็นดับไปเลย
แต่ชีวิตก็เปลี่ยนไปทุกขณะ ตั้งแต่เล็กมาก อยู่ในครรภ์ จนกระทั่งค่อยๆ โต ตอนเกิดมา ก็ไม่ได้รู้จักอะไรเลย แค่ลืมตา ก็ไม่รู้แล้ว ว่าเห็นอะไร จนกว่าจะชินมาก จนกระทั่ง สามารถที่จะจำได้ รูปร่าง สัณฐาน ที่ปรากฏ หลากหลาย ก็ทำให้ ปรากฏ เป็นคนนั้น คนนี้
เพราะฉะนั้น เกิดมาใหม่ๆ ก็พูดไม่ได้ แต่พอได้ยินเสียงคุ้นๆ เข้า ก็จำเสียง แล้วก็รู้ความหมาย แล้วก็เริ่มพูดทีละคำ จนกว่าจะพูดเก่ง จำได้หมดเลย เพราะฉะนั้น ก่อนจะถึงอย่างนี้ ก็ต้อง "ตั้งต้น" เป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น แม้แต่ความรู้ ความเข้าใจธรรมะ ก็เกิดจากทีละน้อย จริงๆ จนกว่าเราจะคุ้น กับ "คำ" ที่เราได้ยิน แล้วก็เข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วก็ไม่เปลี่ยนด้วย อย่าง อนิจจัง อย่างนี้ เห็นชัดเจนมาก แต่ไม่เคยคิด สิ่งที่ไม่เที่ยง ดีไหม? อยากให้เที่ยง ก็ไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น ความเป็นสภาพที่ไม่น่าจะยินดี คือว่า ไม่เป็นไป อย่างที่เราต้องการ
เราต้องการอย่างหนึ่ง แต่สภาพธรรมะ เป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็เป็นทุกข์แล้ว เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น แล้วดับไป อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พูดเป็นภาษาไทย ก็คือว่า ไม่ลืมว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เลย แต่เป็นธรรมะ แต่ละหนึ่ง ฟังไปเรื่อยๆ เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้ว่า ไม่มีเรา
แต่ ยากไหม? คิดได้ เข้าใจได้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ยังเป็นเรา เพราะเหตุว่า ยังไม่ประจักษ์การเกิด และ ดับ จริงๆ
แต่ต้องรู้ได้ ด้วยปัญญา ที่ได้อบรมแล้ว เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่ประจักษ์จริงๆ ใคร ก็ไม่สามารถ ละการยึดถือ ซึ่งยึดถือมานานมาก ก็ยังคงเป็นเราอยู่
เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้ที่ต่างกัน ปุถุชน กับ อริยบุคคล ปุถุชน คือ ผู้ที่หนาด้วยกิเลส เมื่อกี้นี้ อาหารอร่อยไหม? เห็นไหม? ดอกไม้นี้ สวยไหม? เห็นไหม?
เพราะฉะนั้น ทั้งวัน โปรยธุลี คือ กิเลส ลงในจิต หนาขึ้น หนาขึ้น หนาขึ้น ยากที่จะไถ่ถอนออกไปได้
แต่ผู้ที่ได้ยิน ได้ฟัง ธรรมะ จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต้องบำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่ "สาวก"
ได้ยิน ได้ฟัง แล้วก็สามารถ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็จะเปลี่ยน จากความเป็นผู้ไม่รู้ จึงทำให้กิเลสหนามาก ด้วยความรู้ ก็ ค่อยๆ ละ ความไม่รู้
ในวันหนึ่งๆ เช่น ขณะนี้ ความเข้าใจธรรมะ ต่างกับ ขณะที่ไม่ได้ฟัง ใช่ไหม? กำลังสะสมปัญญา ที่จะค่อยๆ ละ ความไม่รู้ ไป
เพราะฉะนั้น โอกาสเดียว ที่จะทำให้รู้ความจริง ก็คือ ได้ฟังพระธรรม ที่รู้เลย ใครก็แสดงไม่ได้ นอกจากผู้ที่ตรัสรู้ความจริง อย่างนี้ จึงกล่าวถึง สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ ตรงตามความเป็นจริง จนกว่าผู้ฟัง ซึ่งเป็นสาวก จะมีโอกาสได้อบรม เจริญปัญญา รู้ตามได้ อย่างพระสาวก ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคฯ ยังไม่ปรินิพพาน ท่านฟังธรรมะ ท่านเข้าใจธรรมะ ในภาษาของท่าน เพราะฉะนั้น เราก็พูดถึง สิ่งที่มีจริง ในภาษาที่เราเข้าใจได้ง่ายๆ แต่ก็ตรงกับภาษาอื่น ที่ทรงแสดง เป็นภาษามคธี ภาษาบาลี แต่ถ้อยความก็ตรงกันแล้วก็ค่อยๆ สะสมไป
เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ขณะนี้ เป็นโอกาสที่ประเสริฐ เพราะเหตุว่า ไม่ได้ทำให้ความไม่รู้ เพิ่มขึ้น เหมือนโอกาสอื่นๆ แต่ว่า ทำให้ความไม่รู้ ค่อยๆ ละไปได้ ทีละเล็ก ทีละน้อยด้วยความเข้าใจขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย
จนกว่า ความเข้าใจ จะมากพอ ที่สามารถที่จะรู้ความจริง เมื่อนั้น จะรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และ มีศรัทธา สภาพจิตที่ผ่องใส มั่นคง ไม่คลอนแคลน เพราะว่า ได้ประจักษ์ความจริง ตรงตามที่ได้ฟัง
วันหนึ่ง ก็ถึงค่ะ แต่ต้องเป็นผู้ที่ไม่ละเลย การเห็นประโยชน์ว่า จะจากโลกนี้ไป จะไปด้วยการเข้าใจความจริง ของสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาเลย ในสังสารวัฏฏ์ นานแสนนาน จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมเมื่อไหร่ ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
เป็นการ สะสม สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุด ในชีวิต ทุกชาติ หรือใครคิดว่า อย่างอื่น มีประโยชน์กว่าคะ? ทรัพย์สิน เงินทอง จากไปได้เร็วมาก ไฟไหม้ น้ำท่วม ถูกโจรลักขโมยไป อะไรได้หมด แต่ว่า ความเห็นถูก หรือ ความเข้าใจถูก อยู่ในจิต สะสม อยู่ในจิต แล้วก็จะติดตามไป เพิ่มพูนขึ้น
การสนทนาธรรม วันแรก และ ครั้งแรก ที่ภาคใต้ ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้จบไปแล้ว นานแล้ว แต่ย่อมเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้บุคคล ที่เห็นประโยชน์จากพระธรรม เกิดกุศลศรัทธา เพิ่มพูนความเข้าใจธรรม ด้วยการสะสมอัธยาศัย ในการฟังพระธรรมต่อๆ ไป การมาสนทนาธรรมที่ภาคใต้ของท่านอาจารย์ครั้งนี้ จึงเป็นนิมิตหมายของความรุ่งเรืองของพระธรรม ที่จะเฟื่องฟูขึ้น ในใจของทุกๆ คนที่นี่
๗. ปฐมสุริยูปมสูตร
ว่าด้วยสิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อนการตรัสรู้อริยสัจ
[๑๗๒๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่จะขึ้นก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน คือ แสงเงินแสงทอง ฉันใด สิ่งที่เป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตมาก่อนแห่งการตรัสรู้อริยสัจ ตามความเป็นจริง คือ สัมมาทิฏฐิ ฉะนั้นเหมือนกัน อันภิกษุผู้มีความเห็นชอบ พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักรู้ตาม ความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริง ว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
จบปฐมสุริยูปมสูตรที่ ๗
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าภาพผู้จัดการสนทนาธรรม คุณพนิดา มิตรปวงชน (คุณโก๋) พร้อมด้วยความสนับสนุนอย่างดียิ่งของคุณชลธี และ คุณสุคันธรส ภู่ชลธี
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
เพราะฉะนั้น โอกาสเดียว ที่จะทำให้รู้ความจริง ก็คือ ได้ฟังพระธรรม ที่รู้เลย ใครก็แสดงไม่ได้ นอกจากผู้ที่ตรัสรู้ความจริง อย่างนี้ จึงกล่าวถึง สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ ตรงตามความเป็นจริง จนกว่าผู้ฟัง ซึ่งเป็นสาวก จะมีโอกาสได้อบรม เจริญปัญญา รู้ตามได้ อย่างพระสาวก ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคฯ ยังไม่ปรินิพพาน ท่านฟังธรรมะ ท่านเข้าใจธรรมะ ในภาษาของท่าน เพราะฉะนั้น เราก็พูดถึง สิ่งที่มีจริง ในภาษาที่เราเข้าใจได้ง่ายๆ แต่ก็ตรงกับภาษาอื่น ที่ทรงแสดง เป็นภาษามคธี ภาษาบาลี แต่ถ้อยความก็ตรงกัน แล้วก็ค่อยๆ สะสมไป ขอบพระคุณ พี่วันชัย ภู่งาม ที่นำภาพอย่างละเอียด สวยงาม และ คำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์มาให้อ่านกัน ครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าภาพผู้จัดการสนทนาธรรม คุณพนิดา มิตรปวงชน (คุณโก๋) พร้อมด้วยความสนับสนุนอย่างดียิ่งของคุณชลธี และ คุณสุคันธรส ภู่ชลธี ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าภาพผู้จัดการสนทนาธรรม คุณพนิดา มิตรปวงชน (คุณโก๋) พร้อมด้วยความสนับสนุนอย่างดียิ่งของคุณชลธี และ คุณสุคันธรส ภู่ชลธี ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง ถ่ายทอดอย่างยอดเยี่ยม งามทั้งภาพ และ พระธรรม ครับ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
เป็นลาภอันประเสริฐยิ่ง ที่มีโอกาสได้รับรสพระธรรมอันบริสุทธิ์บริบูรณ์ โดยความอุปการะเกื้อกูลของ ชาว มศพ. ทุกท่าน สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าภาพผู้จัดการสนทนาธรรม คุณพนิดา มิตรปวงชน คุณชลธี และ คุณสุคันธรส ภู่ชลธี และท่านผู้เกี่ยวข้องทุกๆ ท่าน ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้ด้วยนะครับ ช่างบรรยายเรื่องราวทั้งทางโลกและทางธรรมได้กลมกลืน น่าติดตาม และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าภาพผู้จัดการสนทนาธรรม คุณพนิดา มิตรปวงชน คุณชลธี และ คุณสุคันธรส ภู่ชลธี และท่านผู้เกี่ยวข้องทุกๆ ท่าน กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาท่านวิทยากรทุกท่าน และ คุณวันชัย ภู่งาม ช่างกล้องกิตติมศักดิ์ รวมทั้งทีมงานทุกท่าน