ไม่มีใครปรากฏให้เห็นได้เลยถ้าไม่คิด
เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
"ไม่มีใครปรากฏให้เห็นได้เลยถ้าไม่คิด" พจนาของท่านอาจารย์ในดีวีดี ขอความกรุณาอาจารย์กรุณาช่วยแปลเพื่อความกระจ่างด้วยครับ ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่มีใครปรากฏให้เห็นได้เลยถ้าไม่คิด
ชีวิต ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ คือ จิต เจตสิก รูปที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่มีสัตว์ บุคคล มีแต่เพียงสภาพธรรม ที่ไม่ใช่เราทั้งสิ้น ซึ่งในความเป็นจริงในขณะนี้ โลกปรากฏได้เพราะมีจิต เจตสิก รูปเกิดขึ้น โลกจะไม่ปรากฏเลย หากไม่มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก รูป จะไม่มีเรา ไม่มีสิ่งต่างๆ เพราะการที่ยึดถือว่ามีเรา มีใคร มีสัตว์ บุคคลต่างๆ เพราะอาศัยการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก รูป
ซึ่งในความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ มีการเห็น การได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส แต่ไม่ใช่เพียงเห็นเท่านั้น ที่เป็นหน้าที่ของ จิต เจตสิกที่เกิดขึ้น เมื่อเห็นแล้ว ก็มีการคิดนึก ที่เป็นจิต เจตสิกที่เกิดขึ้นคิดนึกในสิ่งที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัสต่อไป ทำให้เกิดรูปร่าง สัณฐาน และเกิดการยึดถือได้ว่าเป็นใคร บุคคลใด จากที่เคยจำ มีสัญญาในสิ่งที่เคยเห็น ได้ยิน เป็นต้น ซึ่งขณะที่เห็น ไม่ใช่เราเห็น แต่เป็นจิตที่ทำหน้าที่เห็น เห็นอะไร เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา คือ เพียงสีเท่านั้น ยังไม่ได้เป็นอะไร เป็นสัตว์ บุคคล สิ่งต่างๆ เท่านั้น เพราะเป็นเพียงสี สีไม่ใช่ใคร ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธรรม แต่เมื่อเห็นแล้ว ก็คิดนึกต่อหลังจากเห็น เป็นรูปร่างสัณฐาน และจำหมายได้ว่าเป็นใคร เพราะเคยมีสัญญาจำว่าเป็นสัตว์ บุคคลนั้นที่มีรูปร่างอย่างนั้น ทำให้เกิดรู้ว่าเป็นใคร เพราะฉะนั้น จะไม่มีใครปรากฏได้เลย หากเพียงคิด เพราะเพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา คือ สีเท่านั้น นี่คือความจริง แม้จะไม่รู้ และเป็นที่น่าสงสัย แต่ความจริงไม่เปลี่ยนแปลงไปตามความคิดของผู้ไม่รู้ ของผู้ที่เป็นปุถุชน ไม่ใช่พระปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ความจริงเช่นนั้น ครับ
เชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ ครับ
ศุกล เวลาที่เรามีการสังเกตว่ารูปทางตามีลักษณะ คือเป็นสี โดยยังไม่ต้องคิดว่าเป็นสีใดสีหนึ่ง แต่สีที่ว่าปรากฏ ขณะนี้เป็นการคิดนึกเสียมากกว่าที่สติจะเกิดจะมีการพิจารณาว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูป เสียงที่ปรากฏทางหูเป็นรูป กลิ่นที่ปรากฏทางจมูกเป็นรูป ถ้าสมมติว่าขณะที่สติยังไม่เกิด ก็ต้องเป็นไปกับความคิดทั้งหมดเลย ท่านอาจารย์คิดว่า สิ่งที่จะช่วยให้เราเข้าใกล้สภาพของปรมัตถธรรม จะมีการพิจารณาหรือสังเกตอย่างไรครับ
สุ. คือเมื่อกี้ที่ว่า พอเห็นแล้วเป็นสีต่างๆ ความจริงแล้วก็ดูเหมือนว่า เราก็ไม่ได้นึกถึงสีด้วยซ้ำไป เวลาเห็น ไม่ได้นึกถึงสีเลย เห็นเท่านั้นใช่ไหมคะ เรานึกหรือเปล่าว่า เรากำลังเห็นสี แต่มีเห็นแน่ๆ และก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่เราไม่เคยรู้จักเลยว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็น จริงๆ แล้วคืออะไร
นี่คือสิ่งที่อวิชชามีอยู่ตั้งแต่เกิด เพราะเหตุว่าเมื่อเห็นก็ไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏจริงๆ เวลานี้ใครจะมาบอก หรือจะถามกันถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา ทั้งๆ ที่กำลังมีอยู่เวลานี้ แล้วก็เป็นอะไร พอบอกว่าเป็นสี ก็เลยรู้สึกว่ามีสีต่างๆ แล้วพอบอกว่านึกถึงสี ก็เลยคิดถึงสีต่างๆ ที่กำลังปรากฏ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น นี่เป็นของที่แน่นอนที่สุด
ขณะนี้เราเป็นคนที่เหมือนกับยังไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น กำลังเริ่มที่จะรู้ และก็รู้ด้วยตัวของเราเองจริงๆ ค่อยๆ เข้าใจจริงๆ ว่า ในขณะนี้ที่เห็นมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แค่นี้ ยังไม่ต้องนึกถึงคำว่า “สี” ยังไม่ต้องนึกถึงคำว่า “รูปร่างสัณฐาน” หรืออะไรเลย แต่เวลานี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น นี่ถูกไหมคะสำหรับทุกคนที่กำลังเห็น แค่นี้ก่อนนะคะ ยังไม่นึกถึงสี ไม่นึกถึงแสง ไม่นึกถึงอะไรทั้งนั้น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นต้องเป็นของจริง เราไม่ได้ฝัน หรือเราไม่ได้นึก แต่ว่ามีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ให้เห็น แต่ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะว่ายากมากที่จะเข้าใจให้ตรงจริงๆ ว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาเท่านั้น ที่จะละการยึดถือว่าเป็นคน เป็นวัตถุ เป็นโลก เป็นดาว เป็นพระอาทิตย์ ยากเหลือเกิน เพราะเหตุว่าในความรู้สึกหรือในความทรงจำของเรา พอเห็น ตั้งแต่เล็กมา เราก็ค่อยๆ เริ่มรู้จักสิ่งที่ปรากฏโดยรูปร่างสัณฐานต่างๆ จนกระทั่งมันฝังลึกอยู่ในใจของเราว่า มีสิ่งต่างๆ เหล่านั้นแน่นอน นี่คือสิ่งที่เก็บไว้ในหัวใจ ในจิตในใจสืบต่อกันมาเรื่อยๆ แม้จนในขณะนี้
เพราะฉะนั้นไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ชาติก่อนก็อย่างนี้แหละ และชาติก่อนก็ไม่ใช่ชาติเดียว เพราะฉะนั้นชาติก่อนๆ ก็อย่างนี้แหละ
เพราะฉะนั้นที่จะให้เห็นว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาที่มีจริง เราควรจะเข้าใจให้ถูกต้อง คำว่า “ถูกต้อง” ที่นี่ก็คือว่า เป็นเพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง มีจริงๆ และปรากฏเมื่อกระทบกับตา คือ จักขุปสาทเท่านั้นเอง สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้จึงปรากฏได้ มิฉะนั้นแล้วไม่มีทางเลย นึกถึงคนตาบอด ไม่มีทางเลยที่จะเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะอะไร เพราะไม่มีจักขุปสาท เพราะฉะนั้นสำหรับเขา สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ไม่มี สำหรับเราก็เหมือนกัน ถ้าเกิดตาบอดในขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ก็ไม่มี แต่เพราะตาไม่บอด กรรมทำให้จักขุปสาทเกิดแล้วก็ดับ แม้ว่าจะเร็วสักเท่าไรก็ตาม กรรมก็ยังทำให้จักขุปสาทเกิดอีก ดับอีก เกิดอีก ดับอีก อยู่เรื่อยๆ เพื่อกระทบกับสิ่งที่สามารถกระทบกับจักขุปสาทได้ ซึ่งหมายความถึงสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ปรากฏเพราะกระทบกับตาจึงได้ปรากฏ
นี่คือความจริงซึ่งสั้นมาก และเร็วมาก ที่จะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ลักษณะนี้เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏเมื่อกระทบกับจักขุปสาท ก็ต้องฟังไปจนกว่าความเข้าใจจะเพิ่มขึ้นจริงๆ จากขั้นฟังแล้วพิจารณาว่า จริงนะ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ปรากฏ แล้วเราก็นึกเอา นึกเป็นคนนั้น นึกเป็นคนนี้ นึกเป็นสถานที่นั้น นึกเป็นสถานที่นี้จากสิ่งที่ปรากฏทางตา แสดงว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างหนึ่ง และความคิดนึกของเราเป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเราทุกคนจะหลับตาเวลานี้ เราจะนึกเรื่องอะไรก็ได้ทั้งหมด แต่จะไม่ปรากฏเหมือนกับสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้
เพราะฉะนั้นต้องแยกให้ออก สภาพธรรมแต่ละขณะจิต คือ ชั่วหนึ่งขณะซึ่งเกิดแล้วก็ดับ ซึ่งพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านต้องประจักษ์ ถ้าท่านไม่ประจักษ์แล้วก็เหมือนกับปุถุชนธรรมดา ซึ่งเห็นแล้วยังเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ยังไม่สามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องฟังแล้วฟังอีก ฟังไปจนไม่รู้ว่าจะเบื่อหรือไม่เบื่อ สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏเพราะกระทบกับจักขุปสาทชั่วเวลาเล็กน้อย และก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งมีจริง เพียงปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้นหน้าที่ของการอบรมเจริญปัญญา ก็คือว่า ค่อยๆ ทิ้งความเป็นสัตว์ บุคคล หรือความคิดนึกจากสิ่งที่กำลังปรากฏว่า คนละขณะ ความคิดนึกก็จริงว่า มีคน มีสัตว์ เป็นความคิดนึก นั่นจริง แต่ไม่ใช่ขณะเห็น นี่ต้องแยกออก สภาพธรรมที่เป็นจริง ขณะเห็นก็คือเห็น หลังจากนั้นก็คือคิดนึก ไม่ใช่ไม่มีการคิดนึก มีการคิดนึกหลังเห็น
เพราะฉะนั้นเพราะไม่แยก จิตซึ่งเกิดดับสืบต่อกันอย่างเร็วมาก ก็ทำให้มีความทรงจำว่า ยังมีตัวตน มีสัตว์ มีบุคคลอยู่ แต่ถ้าแยกออกเป็นจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดขึ้นรู้อารมณ์คือ สิ่งที่ปรากฏให้จิตรู้ทีละลักษณะเท่านั้นเอง แล้วก็ดับไป ก็ไม่มีอะไรเหลือ ถ้าประจักษ์จริงๆ ว่า ขณะเมื่อกี้นี้ก็ดับแล้ว ขณะที่เห็นในขณะนี้ก็กำลังดับ ขณะที่ได้ยินนี่ก็ดับ จะมีอะไรเหลือ นอกจากมีเหตุปัจจัยทำให้สภาพธรรมเกิดอีก และก็ปรากฏสั้นๆ แล้วก็ดับไป
เชิญคลิกฟังคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ต้องมีความเข้าใจจริงๆ ว่า เห็น มีจริงๆ และสิ่งที่ถูกเห็น ก็มีจริงๆ ในขณะที่เห็นเกิดขึ้น จะไปเห็นสิ่งอื่นไม่ได้นอกจากสิ่งที่ปรากฏทางตา คือ สี เท่านั้น แต่ที่รู้ว่ามีคนนั้นคนนี้ มีคนอยู่รวมกันหลายคน นั่นเป็นคิด ไม่ใช่เห็น เห็นกับคิด ไม่ใช่ขณะเดียวกัน แสดงถึงความเป็นจริงของธรรม คือ จิตที่เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วและไม่ขาดสายด้วย คิดมีจริงแต่เรื่องที่คิดไม่มีจริง ครับ
....ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขณะที่เห็น เห็นเพียงสีเท่านั้น ยังไม่เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน หรือใคร ค่ะ
เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
"คิดมีจริงแต่เรื่องที่คิดไม่มีจริง" หมายความว่าอย่างไรครับ ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
เรียนความเห็นที่ 4 ครับ
ความคิดนึกเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมได้แก่จิต และเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย ที่เป็นไปทางใจ เพราะตามปกติแล้ว จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทาง ๕ ทวาร ทวารหนึ่งทวารใด แล้วต่อด้วยวิถีจิตทางใจ โดยมีภวังคจิตคั่น นี้คือความเป็นจริงของธรรม หรือแม้ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่ได้ถูกต้องกระทบสัมผัส ก็คิดนึกได้ คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเห็นเคยได้ยิน เป็นต้น สภาพธรรมที่คิด มีจริง เรื่องที่คิดไม่มีจริง ไม่มีใครที่จะไปบังคับบัญชา จิตที่คิดมีจริงเป็นธรรม เรื่องที่คิดไม่มีจริงเพราะไม่มีลักษณะให้รู้ ธรรมจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ไม่ควรเผิน แม้แต่คำว่า คิด กับ เรื่องที่คิด
เชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ
สุ. แน่นอนค่ะ ในขณะที่กำลังมี อย่างเสียง จริงขณะไหน ขณะที่กำลังได้ยิน พอเสียงหมดแล้ว ได้ยินหมดแล้ว แล้วเราจะบอกว่า จริงได้อย่างไร ในเมื่อหมดแล้ว สภาพที่คิดมีจริงๆ แต่เรื่องราวที่คิดไม่จริง
ถาม ขณะนั้นใช่ไหมคะ
สุ. ขณะที่กำลังคิด จิตคิดมีจริง การคิดมีจริง แต่เรื่องราวที่คิดไม่มีจริง คิดถึงพัดลมก็ได้ คิดถึงพิมพ์ดีดก็ได้ คิดถึงแจกันก็ได้ คิดถึงดอกกุหลาบก็ได้ เป็นเพียงคิดถึง ไม่ใช่ปรากฏจริงๆ แต่สิ่งที่จริง คือ ขณะนั้นจิตกำลังคิด สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริง แล้วเราคิดถึงรูปร่าง
เพราะฉะนั้นในพระพุทธศาสนาแยกละเอียดมาก ย่อยเหตุการณ์ทั้งเหตุการณ์ออกไปเป็นชั่วจิตทีละขณะเดียว ลองคิดดูว่า จิตทีละขณะหนึ่งเร็วกว่าเสี้ยววินาทีสักแค่ไหน ที่แบ่งจากชั่วโมง เป็นนาที เป็นวินาที เราแบ่งได้ แล้วเราก็ยังสามารถแบ่งละเอียดออกไปเป็นเสี้ยววินาที แต่จิตก็เกิดดับเร็วยิ่งกว่านั้น มากกว่านั้น
เพราะฉะนั้นจากทางตาที่เห็น เราจะจำทันทีว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร อยู่ในความทรงจำของเราเหมือนเห็นน้ำไหล เห็นเก้าอี้ เห็นคน แต่ความจริงขณะนั้นให้ทราบว่าเห็นไม่ใช่คิด
นี่เป็นสิ่งที่จะต้องแยกออกว่า เห็นนั้นกำลังรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา สั้นมาก เร็วมาก หลังจากนั้นแล้วจะจำลักษณะ สีสันต่างๆ ที่เห็น แล้วก็คิดทันทีว่า เป็นคนนั้นคนนี้ เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังเห็นเป็นเก้าอี้ ขณะนั้นคือคิดถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏทางตา
นี่กำลังจะแยกชีวิตในวันหนึ่งๆ ซึ่งเป็นเรา ออกให้เห็นว่า รวดเร็วมาก แล้วจิตแต่ละขณะก็เกิดขึ้นทำกิจการงานแต่ละอย่าง