ในทางพระพุทธศาสนาแล้วไม่มีคำว่าบังเอิญ

 
natural
วันที่  3 เม.ย. 2557
หมายเลข  24674
อ่าน  10,157

ขอความกรุณาช่วยอธิบายข้อความที่ว่า "ในทางพระพุทธศาสนาแล้วไม่มีคำว่าบังเอิญ"


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อได้ศึกษาพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา อันแสดงถึงสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริง จะทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ไม่มีคำว่าบังเอิญใพระพุทธศาสนา เพราะมีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

พุทธศาสนาเป็นเรื่องของเหตุและผล ทุกสิ่งไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ หรือเป็นเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นทั้งสิ้นดังที่ท่านพระอัสสชิแสดงธรรมแก่ท่านพระสารีบุตรว่า “ธรรมะทั้งหลายย่อมเกิดจากเหตุ” นั่นก็คือ การที่ทุกคนเกิดมาแตกต่างกัน เป็นเพราะได้กระทำเหตุ คือทำ กรรม มาต่างกัน กรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง เป็นเหตุให้มีรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ต่างกัน มีอุปนิสัยดีเลวต่างกัน กรรมที่กระทำไว้แล้วนั่นเองเป็นเหตุให้ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ ได้รับความสุข ทุกข์สรรเสริญ นินทา ท่านจะเข้าใจสิ่งที่กล่าวมาแล้วนี้ ก็ต่อเมื่อได้ศึกษาพระอภิธรรมโดยละเอียด พระอภิธรรมเป็นคำสอนเกี่ยวกับสภาวธรรมที่มีอยู่จริงหรืออีกนัยหนึ่งคือสัจจธรรมนั่นเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงบำเพ็ญความเพียรอบรมพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อตรัสรู้ สัจจธรรม หรือ ความจริงของสิ่งทั้งปวง นี้

ข้อความบางตอนจาก...คำบรรยายในรายการ "แนวทางเจริญวิปัสสนา" เรื่องไม่มีคำว่าบังเอิญ โดย...ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

"มีท่านผู้ฟังบางท่าน มีความคิด มีความเชื่อในเหตุการณ์สิ่งแวดล้อมภายนอก กล่าวว่า มีเหตุการณ์จริงๆ ที่เกิดขึ้น เวลาที่โดยสารทางรถยนต์ มีการแลกเปลี่ยนที่นั่งกัน ทำให้คนที่แลกเปลี่ยนที่นั่งแล้วนั้น ไม่ได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุนั้น คล้ายๆ กับว่าจะเป็นการบังเอิญที่ว่า ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนที่นั่งกัน ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุนั้น ซึ่งก็ทำให้บุคคลที่แลกเปลี่ยนที่นั่งแล้วนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บ

ถ้าท่านเป็นผู้ที่มั่นคงในเรื่องผลของกรรมจริงๆ ท่านจะทราบว่า ทุกท่านนี้สะสมมาแล้วทั้งนั้น ทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม แล้วแต่ว่ากรรมใดพร้อมด้วยเหตุที่สมบูรณ์ด้วยปัจจัยที่สมบูรณ์ที่จะให้ผลเกิดขึ้น ผลก็เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าท่านเป็นผู้ที่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องในเรื่องของเหตุผล ตามความเป็นจริง ท่านก็จะทราบว่า ผู้ที่รักษาตน ก็คือ ผู้ที่กระทำสุจริตกาย วาจาใจ แต่ผู้ที่ไม่รักษาตนถึงแม้ว่าคนอื่นจะปกป้องคุ้มครองรักษาสักเท่าไร เมื่อถึงคราวที่อกุศลกรรมจะให้ผล ก็ย่อมทำให้ท่านได้รับผลของอกุศลกรรมนั้น

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
papon
วันที่ 4 เม.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

ขออนุญาตแชร์นะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 4 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนศึกษาพระธรรม ก็มีการพูดในคำต่างๆ มากมาย นับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่ได้เข้าใจในคำที่กล่าวถึง เพราะไม่ได้เข้าใจพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่เมื่อเริ่มฟังเริ่มศึกษาพระธรรม ไตร่ตรองในเหตุในผลตามความเป็นจริงแล้ว จะเข้าใจได้ว่าไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่มีเลยจริงๆ เพราะมีแต่ธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ทั้งนั้น และไม่ได้เน้นไปที่การได้รับผลของกรรมเท่านั้น เพราะถ้ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน แล้วเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด ดังนั้น จึงไม่มีบังเอิญเห็น ไม่มีบังเอิญได้ยิน ไม่มีบังเอิญเกิดเมตตา ไม่มีบังเอิญเกิดความเข้าใจ เป็นต้น เพราะมีแต่ธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด เห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัย ได้ยินเกิดเพราะเหตุปัจจัย เมตตา ความเป็นมิตรเป็นเพื่อน เกิดเพราะเหตุปัจจัย ความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย เมื่อได้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะไม่หวั่นไหวไปกับพูดต่างๆ ที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง เพราะได้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ซึ่งใครๆ ก็เปลี่ยนให้เป็นความไม่เข้าใจ ไม่ได้ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 4 เม.ย. 2557

ธรรมต้องมีเหตุปัจจัย จึงเกิดได้เพราะเป็นธรรม จึงไม่บังเอิญ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
natural
วันที่ 4 เม.ย. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
napachant
วันที่ 7 เม.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
peem
วันที่ 7 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 1 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Sea
วันที่ 30 ต.ค. 2564

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ