ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ แพรวอาภาเพลส ราชบุรี ๗ เมษายน ๒๕๕๗

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  9 เม.ย. 2557
หมายเลข  24695
อ่าน  1,914

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

และ คณะวิทยากรของมูลนิธิฯ ได้รับเชิญจาก ชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ราชบุรี

มี คุณครูจรัญ ฉลวยศรีเมือง คุณครูมาลี ฉลวยศรีเมือง เป็นต้น

ทีมีกุศลศรัทธา จัดสนทนาธรรมในครั้งนี้ โดยมีคุณน้าธนิต ชื่นสกุล เป็นที่ปรึกษา

เพื่อไปสนทนาธรรม ณ ห้องชวนชม แพรวอาภาเพลส อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี

ระหว่างเวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.

มีความสนทนาตอนหนึ่ง ที่ท่านผู้ถามได้กราบเรียนท่านอาจารย์ ถึง ทาน และ การให้ทาน

ซึ่งท่านอาจารย์ได้แสดงไว้โดยละเอียด น่าสนใจอย่างยิ่ง

จึงขอคัดมาเพื่อให้ทุกๆ ท่านได้พิจารณา ดังนี้

ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิต จะมีการให้ไหม?

เพราะฉะนั้น "ทาน" เป็นแต่เพียง "อาการภายนอก" ที่เราเห็น

เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีจิต แล้วก็ไม่มีรูปร่าง ทานก็ไม่มี อะไรๆ ก็ไม่มี

เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น ต้องทราบว่า

ไม่ว่าเราจะกล่าวถึงเรื่องทาน เรื่องสติ เรื่องปัญญา เรื่องเจตนา เรื่องอะไรก็ตาม

มี "สภาพธรรมะ" ซึ่งเราใช้คำว่า "จิต" ในภาษาไทย

ภาษาบาลีก็ใช้ "จิตตัง" หมายความถึง ต้องมี "สภาพรู้"

โต๊ะ เก้าอี้ ไม่มีการให้ทาน

เพราะฉะนั้น ทานจริงๆ ต้องเมื่อมีจิต

และ "จิต" ทั้งๆ ที่มีอยู่ทุกวัน ก็ไม่เคยที่จะสนใจรู้

ว่า เพียงไม่มีจิต อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏว่ามี เลยสักอย่างเดียว

เช่น ถ้าไม่มีจิต อย่างคนที่ตายแล้ว เขา "เห็น" ไหม?

เขา "ได้ยิน" ไหม?

เขารู้ไหม? ว่าที่นั่น มีอะไร? โต๊ะนี้ มีอะไร? ข้างซ้าย ข้างขวา มีอะไร?

เพราะเหตุว่า ไม่มี "ธาตุรู้" ไม่มี "สภาพรู้" ซึ่งใช้คำว่า "จิต"

หมายความถึง สภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน

ที่สามารถจะ "รู้" สิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ได้

เพราะถ้าไม่มีจิต ไม่มีอะไรปรากฏเลย ห้องนี้ไม่มี คนไม่มี เสียงไม่มี เรื่องราวต่างๆ ไม่มี

เพราะฉะนั้น สำคัญที่สุด ก็คือ ธาตุรู้

มีจริงๆ ใช้คำว่า "รู้" เพื่อที่ว่า เราจะค่อยๆ เข้าใจ "จิต" ซึ่งเรามี ซี่งเราไม่เคยสนใจมาก่อน

เพียงแต่รู้ว่า ทุกคนมี "จิต"

เกิดมาแล้ว ต้องมีจิต

แต่จริงๆ แล้ว "จิต" คือ อะไร?

จิตขณะแรก ตั้งแต่เกิด ต่างกับสภาพธรรมะ ซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย

เพราะฉะนั้น ที่ใช้คำว่า "จิต" ต้องเป็น "ธาตุรู้"

เกิดเมื่อไหร่ ต้อง "รู้"

เป็นสิ่งที่มีชีวิต เป็นสัตว์ มีบุคคล เพราะมี "ธาตุรู้"

แต่ถ้า ไม่มีธาตุรู้เลย ก็เป็นโต๊ะ เก้าอี้ ลมพายุ แม่น้ำ ทะเลทราย อะไรก็แล้วแต่

ซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้

ซึ่งตรงกันข้ามกับสภาพธรรมะเดี๋ยวนี้ ซึ่งกำลัง "เห็น"

เป็นสิ่งที่มีจริง เป็น "ธาตุรู้" ชนิดหนึ่ง

ซึ่งสามรถจะเห็นว่า ขณะนี้ มีอะไร ปรากฏให้เห็น

มีอะไร? ปรากฏให้ "เห็น"

ขณะที่ "ได้ยิน"

"เสียง" ปรากฏ

ขณะนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ กำลังปรากฏให้เห็น ทางตา

แต่ว่า ขณะนั้น มี "เสียง"

เพราะเหตุว่า มีธาตุได้ยิน คือ "จิต" เกิดขึ้น "ได้ยิน"

เพราะเหตุว่า "เสียง" ปรากฏ

เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย ที่มีทุกสิ่ง ทุกอย่าง ปรากฏทุกวัน

ก็เพราะ "จิต" เกิดขึ้น แล้วดับไป

ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ ถ้าไม่ได้ฟัง

แต่รู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเกิดแล้ว ต้องดับ และ ดับเร็วมาก

ไม่ต้องไปคอยจนกระทั่ง ถึงวาระสุดท้ายของชาตินี้ ซี่งเราใช้คำว่า ตาย

เกิด แล้วก็ต้อง ตาย

เพราะฉะนั้น ขณะแรก คือ เกิด ขณะสุดท้าย คือ ตาย

เข้าใจเพียงเท่านั้น

แต่ความจริง "จิต" เกิดขณะแรก จึงเป็นสิ่งที่มีชีวิต

ค่อยๆ เติบโต เป็นแต่ละคน ที่อยู่ที่นี่

แล้วจิตก็เกิด ดับ

เกิดทันที ดับทันที

ทำกิจหน้าที่ของจิต สั้นมาก รวดเร็วมาก แล้วก็ดับไป

นี่คือ การที่เราจะเข้าใจ ต้นตอของโลก ของสิ่งที่มีจริง ของทุกสิ่ง ทุกอย่าง

เพราะ ถ้าพระผู้มีพระภาคฯ ไม่ทรงแสดง เราไม่สามารถจะรู้ว่า

ขณะนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิด แล้วก็ ดับ

"เห็น" ไม่ใช่ "ได้ยิน"

เพราะฉะนั้น เห็น กับ ได้ยิน จะเกิดพร้อมกัน ไม่ได้เลย

"เห็น" มีสิ่งที่ปรากฏให้ "เห็น" แล้วดับ

ขณะที่ "ได้ยิน" ก็ต้องมี "เสียง"

"จิตได้ยิน" จึงปรากฏ มี เกิดขึ้น แล้วก็ดับ

เพราะฉะนั้น ทั้งสองอย่าง ไม่ใช่ขณะเดียวกัน ปะปนกันไม่ได้

เพราะฉะนั้น "ธาตุรู้" หลากหลายมาก

ให้ทราบว่า

แต่ละคน วิถีชีวิต ความเป็นมา ตั้งแต่เกิด จนถึงขณะนี้ หลากหลาย

เพราะ สภาพธรรมะ หลากหลาย

ไม่ใช่มีแต่ "จิตเห็น" เท่านั้น "จิตได้ยิน" ก็มี

ไม่ใช่มีแต่ จิตเห็น , จิตได้ยิน

"คิดนึก" ก็มี

และ เรื่องราวต่างๆ ของแต่ละหนึ่งคน ก็ต่างๆ กันไป

นี่ก็แสดงให้เห็น ความเป็นอนัตตา ว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

แต่ต้องเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างอื่นไม่ได้

เกิดมา เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

เย็นนี้ รับประทานอาหารหรือเปล่า?

รับประทานแล้ว พอถึงกลางคืน ก็ต้องนอน

พอนอนหลับ ไม่มีอะไรปรากฏเลย

หายไปไหนหมด?

ทั้งวัน ทั้งวัน ซึ่ง สำคัญเหลือเกิน เดือดร้อน เป็นสุข เป็นทุกข์ ต่างๆ

แต่ พอถึงเวลาที่ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการคิด

ไม่มีอะไรปรากฏ

นี่คือ ความจริง เกิดมา เพื่อเท่านี้เอง

กิน นอน ติดข้อง หลับ ไม่มีอะไรเหลือ แล้วก็ตื่นใหม่

แล้วก็เป็นอย่างนี้ ไปเรื่อยๆ

ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว ในสังสารวัฏฏ์ ต้องเป็นอย่างนี้

จนกว่าจะมีปัญญาเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่ใช่เราสักชาติเดียว

แต่ ทั้งหมดนี้ "เป็นธรรมะ"

ซึ่ง มีจริงๆ ใครบังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เพราะมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น

ใครบังคับให้ไม่ดับ ไม่หมดไป ก็ไม่ได้

เกิด แล้วดับไป

มีประโยชน์ไหม? ที่จะรู้ว่า แท้ที่จริง "ไม่มีเรา" จริงๆ

ไม่ต้องไปเดือดร้อนมากมายเลย

เพราะว่า เป็นธาตุที่มีปัจจัยเกิดขึ้น คืนนี้ก็หมดแล้ว

ตื่นขึ้นมา ก็ตั้งต้นใหม่ไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น แต่ละวัน ถ้าไม่ได้ฟังธรรมะ สะสมอะไร?

สะสมความไม่รู้ ความติดข้อง ความยึดถือ

แล้วต่อไปก็จะทราบได้ ว่าสภาพธรรมะที่หลากหลายนี้

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้เริ่มเห็นถูกต้องว่า

เพียงแต่บอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นอนัตตา

ไม่ใช่ของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เกิดขึ้น แล้วดับไป

ทั้งๆ ที่ได้ยินอย่างนี้ ฟังอย่างนี้ ความจริงเดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนี้

ก็ยังไม่สามารถที่จะ ละความยึดถือ ที่เคยยึดถือ มานานแสนนาน

ว่ามีเรา มีเขา มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีสมบัติ มากมาย มีโลก มีสารพัดอย่าง

ซึ่ง ความจริง เพราะ "จิต" เกิดขึ้น แล้ว "รู้สิ่งนั้น"

"สิ่งนั้น" จึงปรากฏ

แต่เพราะการเกิด ดับ สืบต่อ อย่างเร็วมาก ก็เหมือนนายมายากล เขาสามารถที่จะลวง

ทั้งๆ ที่ มองดูเหมือนไม่มีอะไรเลย ก็มีสิ่งที่เกิดขึ้น

เกิดขึ้นมา ได้อย่างไร? ใช่ไหม?

แต่ นายมายากล ไม่เร็วเท่ากับจิต

จิต เกิดดับ เร็ว สุดที่จะประมาณได้

เพียงเท่านี้ ที่ได้ฟัง

เริ่มเข้าใจความจริงของชีวิต ว่า หนีไม่พ้น ต้องเป็นอย่างนี้

เป็นความจริง ถึงที่สุด ซึ่งใคร เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย

ใครจะไม่ให้เกิด ก็ไม่ได้ ใครจะไม่ให้ดับ ก็ไม่ได้ ใครจะให้ยังเหลืออยู่ ก็ไม่ได้

เมื่อวานนี้ เห็นอะไร? ยังเหลือไหม?

"เห็น" , "จิตเห็น" ดับแล้ว

ไม่เหลือเลย

เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ เพื่อประโยชน์ คือ ทุกครั้งที่ได้ยิน แล้วเข้าใจคำที่ได้ยินว่า

หมายความถึง สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้

ซึ่ง การรู้ การเข้าใจถูก กับ การไม่รู้ ไม่เข้าใจ

อะไรจะมีประโยชน์?

เกิดมาแล้ว มีแล้ว แต่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ

กับ เกิดมาแล้ว มีทุกสิ่งทุกอย่าง ยังสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มี เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น ประโยชน์จริงๆ ในชาติหนึ่ง ก็คือ ความเห็นถูก เข้าใจถูก ในสิ่งที่มี

ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้เองได้

บางคน ชอบคิด ช่างคิด คิดเอง

น่าเสียดายพระธรรม ทรงแสดงไว้แล้ว ทำไม่ไม่คิด ตามพระธรรมที่ทรงแสดง

แต่กลับ "คิดเอง" หมดเลย

แค่ฟังประโยคเดียว คำเดียว

คิดยาวมาก

เป็นหนังสือเป็นเล่มๆ เขียนออกมาได้

แต่ว่า ถ้า "คิดตาม" ที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดง ไม่คิดเอง

ความเข้าใจ จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น ตรงขึ้น ถูกขึ้น

เป็นการสะสม ที่จะรู้ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะคิดเอง

ถ้าคิดเองก็ผิด

แต่ ทุกคำ ที่ได้ฟัง แม้แต่คำเดียว ทีละคำ ทีละคำ

สามารถที่จะเพิ่มความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งจะสะสม สืบต่อ อยู่ในจิต

ไม่ว่าเกิดชาติไหน มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง มีการสะสมศรัทธา ความผ่องใสของจิต

ซึ่งขณะนั้น ไม่มีโลภะ ความโลภ ติดข้อง ใน รูป เสียง กลิ่น รส ในเรื่องใดๆ

ยศถาบรรดาศักดิ์

ไม่ได้มีโทสะ ความขุ่นเคือง ไม่ได้มี ความไม่รู้

จึงทำให้อยู่ในโลก ด้วยความไม่รู้

แต่ การได้ยิน ได้ฟัง ค่อยๆ สะสม ความรู้ ความเห็นถูก

จนกระทั่ง วันหนึ่ง ก็สามารถที่

เพียงได้ยินคำสั้นๆ ก็สามารถที่จะ "เข้าถึงลักษณะ" ที่เป็นจริง

เช่น คำว่า "ธรรมะ" ได้ยินกัน บ่อยมาก

ภาษาไทยก็มีหลายคำ ยุติธรรมก็มี สังขารธรรมก็มี

มีมาก เพราะอะไร?

ทุกอย่างที่มี เป็นสิ่งที่มีจริง

เพราะฉะนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง สิ่งที่มีจริง

ความจริงของสิ่งที่มี เท่านั้น

สิ่งที่ไม่มี จะกล่าวถึงทำไม? ไม่มีประโยชน์ เมื่อไม่มี

เพราะฉะนั้น ไป "คิดเอง" น่ะ มีอะไร? ในขณะที่คิดเอง

ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจเลย

เพราะฉะนั้น ธรรมะ คำเดียว ทุกอย่างเป็นธรรมะ

สามารถที่จะถึงการหมดกิเลส ได้ไหม?

ถึงความเป็นพระอรหันต์ ได้ไหม?

แต่ไม่ใช่เรา

ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในธรรมะทั้งปวง ที่ขณะนี้ กำลังมี

ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่า ธรรมะ คือ สิ่งที่มี

เพราะฉะนั้น จากเดิม ที่ไม่เคยรู้จักธรรมะ ไปแสวงหาธรรมะ ในที่ต่างๆ

ก็เริ่มรู้ว่า ไม่ต้องแสวงหาเลย

มีแล้ว กำลังมี กำลังผเชิญหน้า แต่ไม่รู้ความจริง

จนกว่าจะได้ฟัง แล้วก็ไตร่ตรอง

และ เป็นความเข้าใจ

เพราะฉะนั้น การบ้าน มี สำหรับผู้ที่ฟังแล้ว

คือ ฟังแล้วจบเลย นี่ไม่มีการบ้าน ใช่ไหม? ทิ้งไปเลย

แต่ ฟังแล้ว "ฟังอะไร?"

แล้วก็ยังคงคิดถึง สิ่งที่ได้ฟังด้วย "ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีจริง เป็นธรรมะ"

เพราะฉะนั้น ไม่ขาดธรรมะเลยสักขณะเดียว

เพียงแต่ว่า เดี๋ยวนี้ ธรรมะก็เกิดขึ้น แล้วดับไป

แต่ไม่รู้ความจริงเลย

เพราะฉะนั้น สะสมความไม่รู้ ในสิ่งที่มีจริงไว้ มากแค่ไหน?

แต่ถ้ามีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ทีละเล็ก ทีละน้อย

ทุกอย่างจริงๆ ปัญญา สามารถที่จะ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

เวลาที่ใช้คำว่า เข้าใจถูก เห็นถูก

ก็ตรงกับความหมายในภาษาบาลี ที่ใช้คำว่า "ปัญญา"

เพราะฉะนั้น เราจะใช้คำที่ไม่รู้จัก เช่น คนนั้นมีปัญญา

แล้วเขารู้อะไร?

คะ?

แล้วปัญญา รู้อะไร?

แต่ สภาพธรรมะ ที่เป็นปัญญา ต้องเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

แล้วก็ต้องมีสิ่งที่ สิ่งนั้น เข้าใจได้ เข้าใจถูกต้อง

ไม่ใช่ ปัญญาลอยๆ

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ปัญญา

ความเห็นที่ถูกต้อง ว่าทุกสิ่ง เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดขึ้น และดับไป

เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่จำคำ

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าขณะไหน กำลังกระทบสิ่งที่แข็ง ขณะนั้น มีจริงๆ เป็นธรรมะ

ปรากฏในสังสารวัฏฏ์ว่า อยู่ในสังสารวัฏฏ์ มีแน่ๆ "แข็ง" ตลอดทุกชาติไป

แล้วก็เกิดดับด้วย แล้วก็ไม่ใช่อะไร

แต่ว่า พอไม่รู้ ก็เป็น อาหารอร่อยๆ เป็นเสื้อผ้าสวยๆ

เป็นแก้วแหวน เงินทอง เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง

แต่จริงๆ ก็คือ "แข็ง"

มี แต่ไม่รู้ความจริงว่า สิ่งนั้น เกิดขึ้น แล้วดับไป

เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจธรรมะจริงๆ ก็จะไม่ลืม

สามารถที่จะ "ผูกจิต" ไว้

ให้สามารถเข้าใจ สิ่งที่มีจริง ในความเป็นจริง ว่า "เป็นธรรมะ"

กว่าจะเข้าใจมากกว่านี้ ละเอียดกว่านี้ ลึกซึ้งกว่านี้

จนกระทั่ง สามารถรู้ว่า

ไม่มีอะไร นอกจากธรรมะ

ไม่มีเรา จริงๆ

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม เพื่อมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก เพิ่มขึ้น

ไม่ใช่เพื่อที่จะให้เป็นพระโสดาบันวันนี้ โดยไม่รู้อะไรเลย

เพราะเหตุว่า พระธรรมคำสอน ทุกคำ

ทรงอนุเคราะห์ ให้ผู้ที่ได้ฟัง ได้เกิดความเห็นที่ถูกต้อง

เพราะฉะนั้น "ทาน"

ถ้าไม่มีจิต มีทานไหม?

ท่านผู้ฟัง ไม่มีครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่กิริยาอาการ ซึ่งเคลื่อนไหวไป โดยไม่มีจิต

แต่ว่า จิตประเภทใด เกิดขึ้น กาย วาจา ก็เป็นไป อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึง ทาน การให้

ต้องมี "จิต" ซึ่งสามารถ สละ สิ่ง เพื่อประโยชน์ แก่บุคคลที่เราให้

สิ่งนั้น ต้องเป็นประโยชน์ ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์

จึงเป็นการให้ทาน

และขณะนี้ ก็จะสังเกตุได้ว่า ให้บ่อยไหม?

คะ?

ธรรมะ ไม่ต้องไปหาคนอื่น ว่า คนนั้น ทำอย่างไร? คนนี้ ทำอย่างไร?

แต่ว่า สภาพที่มีจริง ที่เคยเข้าใจว่า "เป็นเรา"

เป็นจิตประเภทไหน?

สะอาด หรือว่า เต็มไปด้วย ความไม่รู้

เต็มไปด้วย ความติดข้อง เต็มไปด้วยความพยาบาท เต็มไปด้วย ความสำคัญตน

เต็มไปด้วยมานะ หรือว่า ความโกรธต่างๆ ขั้นต่างๆ

นี่ก็แสดงให้เห็นว่า

ไม่มีใครสามารถจะ ชำระล้างจิตนั้น ให้สะอาด

เพราะว่า ต้องอาศัยพระธรรม

คนอื่นช่วยไม่ได้

เพราะเหตุว่า การฟังแต่ละครั้ง ทำให้เกิดความเข้าใจขึ้น

ขณะที่เข้าใจขึ้น ก็เหมือนสิ่งที่สามารถ ขจัดสิ่งสกปรก ที่มีอยู่ในจิต

ให้ค่อยๆ ละทิ้งไป ทีละน้อย ทีละน้อย

จนกว่าจะหมดสิ้น

เพระฉะนั้น ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น

แต่ว่า ฟังอะไร ก็ให้เข้าใจ

ว่า ทาน หมายถึง จิตประเภทหนึ่ง ซึ่งขณะนั้น ไม่ติดข้อง ในสิ่งที่มี

สามารถที่จะสละ ให้เป็นประโยชน์ แก่บุคคลอื่นได้

แต่ว่าละเอียดมาก

สภาพของจิต ไม่ได้มีทานตลอดเวลา ทุกคนรู้

วันนี้ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ ซึ่งส่องไปถึง วันก่อนๆ และวันข้างหน้า

เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า

แต่ละคน ติดข้อง ไม่สามารถสละได้

หรือว่า สละได้เพียง บางสิ่ง บางอย่าง

เล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ

แต่ทั้งนี้ เพื่อสละ อย่างสูงที่สุด คือ

สละการยึดถือ "สภาพธรรมะ" ว่า "เป็นเรา"

เพราะว่า ถ้ายังไม่สามารถที่จะสละ แม้วัตถุภายนอกได้

จะสละ สิ่งที่เราเคยยึดถือ ว่าเป็นเรา ตั้งแต่ศรีษะ จรดเท้า ว่าเรา

ทุกขณะที่เห็น เป็นเรา ทุกขณะที่ได้ยิน เป็นเรา

แม้แต่โกรธ ก็เป็นเรา

เพราะฉะนั้น การยึดถือสภาพธรรมะ ซึ่งเป็นธรรมะ แต่เข้าใจว่าเป็นเรา

นี่เป็นความเห็นผิด

แล้วก็ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้ความเห็นผิดนี้ หมดไปได้

นอกจากพระธรรม

ธรรมะ เตชะ , ธรรมเดช คือ พระธรรม คำสอน

สามารถที่จะทำให้ เกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

ขณะใดก็ตาม ที่เข้าใจ ขณะนั้นเป็นกุศล

เป็นสภาพจิตที่ดีงาม ตรงกันข้าม กับสภาพที่ไม่ดีงาม

เพราะฉะนั้น พูดง่ายๆ ก็คือ

จะเป็นคนดีขึ้น

ทีละเล็ก ทีละน้อย

แต่ไม่ใช่หมดเกิเลส ไม่ใช่ดีมากมาย

เปลี่ยนแปลง กลับหน้ามือ เป็นหลังมือ

แต่ดี เพราะ

จากเคยไม่รู้

ค่อยๆ รู้ขึ้น ตามความเป็นจริง

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ราชบุรี

มีคุณครูจรัญ - คุณครูมาลี ฉลวยศรีเมือง เป็นต้น

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 9 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

อบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าภาพผู้จัดการสนทนาธรรม

คือ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ราชบุรี

มีคุณครูจรัญ - คุณครูมาลี ฉลวยศรีเมือง เป็นต้น

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง

ถ่ายทอดอย่างยอดเยี่ยม งามทั้งภาพ และ พระธรรม ครับ

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 9 เม.ย. 2557

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

อบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าภาพผู้จัดการสนทนาธรรม

คือ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ราชบุรี

มีคุณครูจรัญ - คุณครูมาลี ฉลวยศรีเมือง เป็นต้น

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง

ถ่ายทอดอย่างยอดเยี่ยม งามทั้งภาพ และ พระธรรม ครับ

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 10 เม.ย. 2557

เป็นลาภอันประเสริฐยิ่ง

ที่มีโอกาสได้รับรสพระธรรมอันบริสุทธิ์บริบูรณ์

โดยความอุปการะเกื้อกูลของ ชาว มศพ. ทุกท่าน

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nattawan
วันที่ 10 เม.ย. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
thilda
วันที่ 11 เม.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
รู้จบลงที่รู้
วันที่ 11 เม.ย. 2557

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์

คณะวิทยากรและผู้จัดค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ch.
วันที่ 12 เม.ย. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 14 เม.ย. 2557

อนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ