เมื่อท่านอาจารย์สุจินต์ ถูกถามเรื่องคุณไสย
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันจันทร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา มีสนทนาธรรมที่ แพรวอาภาเพลส จ. ราชบุรี โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และคณะวิทยากร ด้วยกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จ. ราชบุรี มี คุณครูจรัญ ฉลวยศรีเมือง คุณครูมาลี ฉลวยศรีเมือง เป็นต้น ที่มีกุศลศรัทธาจัดสนทนาธรรมในครั้งนี้ โดยมีคุณน้าธนิต ชื่นสกุล เป็นที่ปรึกษา
ในการสนทนาธรรมครั้งนี้ หลายท่านสะดุดใจกับคำถาม ๑ คำถาม ที่มีผู้ฝากกราบเรียนถามท่านอาจารย์ นั่นก็คือ เรื่องคุณไสย ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงความเป็นจริงของธรรม ละเอียดลึกซึ้งมาก แม้จะไม่ยาวนัก แต่ก็มากไปด้วยสาระอย่างแท้จริง จึงขออนุญาตถอดคำอธิบายของท่านอาจารย์มาฝากผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกันทุกท่านได้อ่านและพิจารณา ร่วมกัน ดังนี้
คำถาม ถ้าท่านอาจารย์โดนคุณไสย ท่านอาจารย์จะทำอย่างไร
คำตอบ ไม่รู้จักคุณไสย ช่วยกรุณาบอกหน่อยว่าคุณไสยคืออะไร จะตอบคำถามที่ไม่รู้ ไม่ได้ แต่ต้องอธิบายก่อนว่าคุณไสยคืออะไร เพราะฉะนั้นก็จะต้องถามกลับว่าคุณไสยคืออะไร จะตอบโดยไม่รู้ ไม่ได้ ต้องรู้ว่าคืออะไร แต่ว่าจะมีอะไรพ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วันนี้ ไม่พ้นจากเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง คิดนึกบ้าง ใครทำ แล้วอะไรคุณ อะไรไสย อยู่ที่ไหน ในเมื่อเห็น ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คุณไสยจะมาทำให้เห็นหรือ คุณไสยไหน ชื่อคุณไสยหรือชื่อคุณอะไรก็ไม่รู้ ก็ไม่ทราบ แต่ว่าไม่สามารถจะทำให้อะไรเกิดขึ้นได้เลย ทุกอย่างที่เกิด ต้องมีปัจจัยเฉพาะที่จะให้สิ่งนั้นเกิดเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น มีใครไปทำคุณไสยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ถ้ามีจริงใช่ไหม?
เป็นแค่ความคิดที่ไม่รู้ความจริง หรือใครจะอธิบายว่าคุณไสยมีจริง มีจริงเป็นเห็นหรือเป็นได้ยิน หรือเป็นได้กลิ่น หรือเป็นลิ้มรส หรือเป็นการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หรือว่าเป็นการคิดนึก ซึ่งไม่ได้บอกถึงเหตุและผลเลย แต่ว่าธรรมที่มีจริง ทั้งเหตุและผล ก็คงจะตอบปัญหานี้ได้แล้ว หรือว่าท่านผู้ใดยังสงสัย เดี๋ยวนี้กำลังได้ยิน คุณไสยทำให้ได้ยินหรือเปล่า กำลังคิดนึก คุณไสยทำให้คิดนึกหรือเปล่า กำลังโกรธขุ่นใจ คุณไสยทำให้โกรธหรือเปล่า เพราะฉะนั้นก็ ปัญญา รู้ความจริง แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญา ก็คิดไปด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นคงไม่ต้องไปคิดถึง ไม่ต้องเดือดร้อนแทนด้วย.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโทนาในกุศลศรัทธาของผู้จัดสนทนาธรรมในครั้งนี้
มี คุณครูจรัญ ฉลวยศรีเมือง คุณครูมาลี ฉลวยศรีเมือง เป็นต้น และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแสดงความเห็นในเรื่องคุณไสย อันเป็นการสนทนาเพื่อความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น ครับ
คุณไสย หรือ ไสยศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยความหลับไหล ทำให้ผู้คนหลับไหลด้วยความไม่รู้ และ ด้วยอกุศลธรรมประการต่างๆ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ส่วน พุทธศาสน์ หรือ พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของท่านผู้รู้ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ด้วยพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และ พระมหากรุณาคุณคือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
การโดนคุณไสย ก็เป็นเรื่องของการคิดนึก ที่คิดเอาเอง ว่าโดนคุณไสย เพราะในความเป็นจริง การได้รับสิ่งที่ดี หรือ ไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่ใคร ที่คุณไสย อยู่ที่กรรมในอดีตที่ทำมา หากกรรมดีให้ผล ใครจะทำอย่างไรกับเรา ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ และหากกรรมไม่ดีให้ผล แม้ไม่มีใครทำคุณไสย กรรมไม่ดีก็ให้ผล โดยไม่มีใครทำให้เลย เช่น การเกิดในนรก การที่ก้อนหินตกใส่ เป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงต้องมั่นคงในเรื่องของกรรมว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน ไม่มีใครทำอะไรได้ นอกจากกรรมที่ตนเองทำมาเท่านั้น ครับ
เพราะฉะนั้น ถ้าเราแยกเรื่องผลของกรรม กับ ขณะที่เป็นอกุศลจิต ก็จะรู้ว่า ความจริง ขณะใดเป็นผลของกรรม ขณะไหนเป็นเหตุ ที่ไม่ใช่ผลของกรรม
เพราะฉะนั้น ขอให้มั่นคงในเรื่องของกรรม ไม่มีใครทำใครได้ นอกจาก กรรมของตนเอง และใจของตนเองที่มีกิเลสทำร้ายจิตใจเท่านั้น ครับ บุคคลผู้ที่ไม่รู้ เต็มไปด้วยความไม่รู้ คือ อวิชชา ก็มีความประพฤติเป็นไปคล้อยตามความไม่รู้ ซึ่งก็มีหลากหลายมาก เพราะถูกครอบงำไว้ด้วยความไม่รู้ ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรคือสิ่งที่ควรกระทำ อะไรคือสิ่งที่ควรงดเว้น จึงมีการกระทำอะไรต่างๆ ที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัยที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ทำให้ยิ่งเพิ่มกิเลสอกุศล เพิ่มความไม่รู้ และทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวต่อไป ซึ่งจะแตกต่างไปจากบุคคลผู้ที่รู้ ซึ่งเป็นการรู้ธรรม รู้สิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ที่ชีวิตจะเป็นไป คล้อยไปในทางทีถูกที่ควรมากยิ่งขึ้น เพราะมีปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้นจากการได้ฟังพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีปัญญาเป็นเครื่องนำทางชีวิตให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรยิ่งขึ้น เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลสของตนเองจนกว่าจะสามารถดับได้ในที่สุด
ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากการได้รับผลของกรรมได้ ถ้าถึงคราวที่กรรมจะให้ผล, ชีวิตของแต่ละบุคคลที่ดำเนินไปในแต่ละวันแต่ละขณะ หลักๆ แล้ว ไม่พ้นไปจาก ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนหนึ่ง เป็นผลของกรรม และอีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนของการสะสมเหตุ ที่จะเป็นเหตุให้เกิดผลในภายหน้า และสะสมเป็นอุปนิสัยต่อไป ซึ่งมีทั้งดี บ้าง ไม่ดี บ้าง ตามการสะสมของแต่ละบุคคล สำหรับผลของกรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน เป็นผลที่เกิดขึ้นเพราะมีเหตุที่ได้กระทำแล้ว เราไม่สามารถที่จะไปตัดหรือไปแก้อะไรได้ เพราะเกิดแล้วเป็นไปแล้วในขณะนั้น โดยไม่มีใครทำให้เลย แต่สิ่งที่ควรพิจารณา คือ ควรอย่างยิ่งที่จะได้สะสมเหตุที่ดี คือ กุศลธรรม เพราะบุคคลผู้มีปัญญา พอท่านได้ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาในชีวิตประจำวัน จะเป็นเรื่องใดๆ ก็ตาม สามารถพิจารณาตามความเป็นจริงได้ว่า เป็นเพราะเราได้กระทำกรรมที่ไม่ดีไว้ กรรมไม่ดีถึงคราวให้ผล ผลที่ไม่ดีจึงเกิดขึ้น ก็เป็นเครื่องเตือนให้ท่านได้มีความเพียร มีความตั้งใจที่จะสะสมกุศล ซึ่งเป็นเหตุที่ดี สะสมเป็นที่พึ่งให้กับตนเอง ต่อไป
เพราะฉะนั้นแล้ว โอกาสที่สำคัญในชีวิต ก็คือ โอกาสที่จะทำให้ตนเองได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ความเข้าใจพระธรรมนี้เอง จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้กุศลธรรมประการต่างๆ เจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน ในขณะที่กุศลธรรมเกิดขึ้น ก็ย่อมเป็นการขัดเกลาอกุศล เป็นการละคลายเหตุที่ไม่ดี
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโทนาในกุศลศรัทธาของผู้จัดสนทนาธรรมในครั้งนี้
มี คุณครูจรัญ ฉลวยศรีเมือง คุณครูมาลี ฉลวยศรีเมือง เป็นต้น และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขออนุโมทนา
กราบอนุโมทนาขอบคุณท่านอาจารย์และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณคำปั่น อักษรวิลัย เป็นอย่างยิ่งครับ